ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๐
~ มีใครเป็นที่พึ่งที่สูงสุดในชีวิตซึ่งไม่มีทางที่จะผิดเลย? ผู้นั้น คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเคารพในคำของพระองค์ที่ทรงแสดงเพื่อประโยชน์ทั้งหมดตลอด ๔๕ พรรษา คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อทุกคน
~ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องเป็นบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนที่เป็นปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสได้ฟังและเห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตแต่ละชาติว่าไม่มีประโยชน์อื่นใดที่จะเสมอเท่ากับการได้ฟังและได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ได้ฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นขณะใด ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลสซึ่งสะสมมา แต่เหมือนหยดน้ำทีละหยดบนหินก้อนใหญ่มหึมา จนกว่าอกุศลนั้นจะหมดไป ท้อถอยไหม? ไม่ท้อถอย เพียรที่จะฟังต่อไป
~ ไม่มีใครที่จะมีความหวังดีเป็นมิตรพร้อมที่จะเกื้อกูลเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อความในพระไตรปิฎกก็แสดงชัดเจนว่ามิตรคือบุคคลผู้ที่หวังดีที่สุด ไม่มีใครเปรียบได้เลยเหนือกว่ากัลยาณมิตรใดๆ ทั้งสิ้น ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมทุกคำของพระองค์ เป็นที่พึ่ง
~ ถ้ามีความเห็นถูกว่าชั่วเป็นชั่ว ดีเป็นดี อกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล แล้วจะทำชั่วไหม? แล้วประเทศชาติจะเจริญไหม ในเมื่อมีแต่คนดีทั้งนั้น? แต่ที่ประเทศอ่อนแอและเสื่อมลง ไม่เจริญ ก็เพราะทุจริตซึ่งเป็นอกุศล
~ ทำไมจึงไม่ตั้งมั่นในคุณความดี? เพราะไม่รู้ว่าคุณความดีมีแต่ประโยชน์ ส่วนความไม่ดีนั้นมีแต่โทษ เมื่อไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้ารู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็ตั้งมั่นในความดีมากขึ้น จะไม่ได้รับโทษภัยใดๆ เลยทั้งสิ้นจากความดี ความดีต้องนำมาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์
~ ติดข้องในสิ่งที่ว่างเปล่า เพราะจากไม่มี ก็มี แล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลือเลยทั้งสิ้น จึงว่างเปล่า ได้ยินเสียง ก่อนได้ยินไม่มีเสียง เสียงไม่ได้ปรากฏ แต่เพียงแค่ปรากฏดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่เฉพาะเสียง ทุกอย่างเมื่อปัญญารู้ความจริงก็เหมือนกันทั้งนั้น คือ เป็นสิ่งที่ปรากฏสั้นมาก เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาที่กำลังรู้เฉพาะ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง จะเข้มแข็งมั่นคงจนกระทั่งสามารถสละความติดข้อง ก็เพราะประจักษ์ความว่างเปล่าในสิ่งซึ่งคิดว่ายั่งยืนหรือว่ามีอยู่ตลอดเวลา
~ ไม่ว่ากุศล หรือ อกุศล ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็มีความมั่นคงทะลุปรุโปร่งในความหมายของคำว่าธรรม เป็นธรรม ถ้าเป็นเรา เราก็เสียดายบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่มีเลย (เพราะเกิดแล้วดับแล้ว) แม้แต่ความรู้สึกเสียดาย โทมนัส (เสียใจ) ต่างๆ เหล่านี้ ก็เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดเท่านั้น มากน้อยก็ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นเราที่จะต้องโศกเศร้าเสียใจ นี่คือ เริ่มมีการเข้าใจทะลุปรุโปร่งในความเป็นจริงว่า "ธรรม ไม่ใช่เรา"
~ เก็บกิเลสมากไหม? ทางตาเก็บแล้ว ทางหูเก็บอีก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เก็บทุกวัน เพราะฉะนั้น กิเลสมาก แม้จะได้ฟังธรรมแล้ว อย่าคิดว่าเพียงเล็กน้อยที่ได้ฟังจะทำลายกิเลสได้ แต่ก็ยังเป็นแสงสว่างในความมืดที่จะทำให้เห็นถูกว่าไม่ใช่เรา แล้วการที่มีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะค่อยๆ สะสมไปจนกระทั่งทำให้ทางฝ่ายกุศลมีกำลัง
~ ผู้ที่เสียสละ ละอะไร? ละอกุศล ละโลภะ ละโทสะ ละโมหะ ทำให้คนนั้นสามารถที่จะทำสิ่งซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ แต่คนอื่นก็ไม่รู้ในความเป็นผู้เสียสละของใคร นอกจากบุคคลนั้นเอง เพราะใครจะรู้ถึงจิตของคนนั้นได้
~ การไม่รู้ธรรมแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดฝังแน่นมานานแสนนานในแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้น ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ทำไมมีอกุศลมาก? เพราะไม่รู้ว่าไม่ใช่เราและเป็นเหตุให้สะสมสิ่งที่เป็นอกุศลมาก เพราะฉะนั้น อกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดมากกว่ากุศลมากทีเดียว
~ ต้องอาศัยบารมี คือ คุณความดีกุศลนานาประการซึ่งถ้ากุศลไม่เกิดทั้งวันก็เป็นอกุศลโดยไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่าขณะนั้นได้พอกพูนความไม่รู้และความติดข้องในความเป็นเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต
~ จิตแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตที่ดับไปแล้วนั่นเอง เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่สะสมมีอยู่ในจิตที่ดับไปแล้วนั้นก็สืบต่อไปถึงจิตขณะต่อไป เป็นอย่างนี้มานานแล้วจนกระทั่งถึงวันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้และต่อไปด้วย
~ กุศลเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่ขาดการที่จะเป็นกุศลบ่อยๆ
~ ถ้ามีความเข้าใจแล้ว ก็จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง หนทางเดียวที่จะละโลภะที่ติดข้องในความเป็นเรา ก็คือ เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนที่มีอยู่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
~ ถ้าเป็นผู้ที่ตรงและมีเหตุผล แม้จะเคยเข้าใจผิด แต่พอได้ฟังสิ่งที่ถูกก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แล้วก็สามารถที่จะทิ้งสิ่งที่ผิดได้ เพราะฉะนั้น ทั้งหมด ก็คือ อนัตตา ไม่ใช่เรา
~ เกิดมาแล้วมีโอกาสที่จะทำดี ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็ทำไป เท่าที่จะทำได้ตลอดชีวิต สะสมไป
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๙
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
น้อมกราบเท้าท่านอ. สุจินต์มีกรุณาในกุศลจิตยิ่ง และอ. ท่านอื่นๆ ด้วยค่ะ สาธุค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ อ.คำปั่นและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ