ปัญญาประจักษ์การเกิดดับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์ ปัญญาประจักษ์การเกิดดับ ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วไม่มีทางที่จะประจักษ์เลย แล้วก่อนที่จะประจักษ์การเกิดดับต้องคลายการที่เคยยึดถือปรมัตถธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสียก่อน เพราะฉะนั้นทางตา วิธีพิสูจน์ก็คือว่า ยังเห็นว่าเป็นสัตว์บุคคลต่างๆ โดยที่สติไม่เคยระลึกได้เลยว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น และการที่ปัญญาจะเจริญขึ้น จะต้องอาศัยการพิจารณาอีกมากทีเดียว จะต้องรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ก็ปรากฏเพียงชั่วขณะจิตเดียว เห็นไหมคะว่ากว่าที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปได้ ปัญญาจะต้องมนสิการ หมายความว่าพิจารณาและก็เพิ่มความรู้ เพิ่มความมั่นคงขึ้นว่า ทุกขณะจิตเป็นเพียงชั่วขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ฎ์ ซึ่งจะไม่มีการกลับมาอีกเลย ทางตาที่กำลังเห็นในขณะนี้ แล้วก็มีการได้ยิน กับเห็นหลังจากที่ได้ยิน ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง
นี่หมายความว่าจะขาดการพิจารณาเพื่อที่จะให้ปัญญาระลึกลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเดินไปจงกรมไป แล้วก็คิดว่าประจักษ์การเกิดดับ โดยที่ไม่มีการรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม แล้วก็ปัญญาของแต่ละบุคคลเป็นปัจจัตตัง เป็นการรู้เฉพาะตัวจริงๆ เช่นขณะนี้ใครจะพิจารณาทางตา แล้วก็มีความรู้เพิ่มขึ้นจริงๆ ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาชั่วขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ฎ์ พอได้ยินเสียง เห็นอีกก็รู้ว่า ที่เห็นนี้ก็เป็นชั่วขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ฎ์
เพราะฉะนั้นปัญญาจะทำหน้าที่ละคลายการติดข้องไปเรื่อยๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อปัญญาเกิดแล้วไม่ได้ละอะไรเลย แต่ปัญญาทุกขณะที่เกิดจะต้องละตามลำดับขั้นของปัญญา แม้ว่าในตอนต้นยังไม่ได้ละโลภะ โทสะ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ก็ต้องละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นบุคคลต่างๆ โดยรู้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏเพียงชั่วขณะเดียวในสังสารวัฎฎ์ ถ้ารู้ว่าทุกคนในขณะนี้ที่ได้ยิน ก็เป็นชั่วขณะหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ฎ์เท่านั้น ก็จะไม่มีสาระสำคัญอะไรเลย สิ่งที่ดับไปเมื่อกี้นี้ก็ไม่กลับมาอีกเลย มีแต่ไป ไป ไป เกิดขึ้นแล้วก็ไป คือ ดับ เกิดขึ้นแล้วก็ไป คือ ดับ เกิดขึ้นแล้วก็ไป คือ ดับอยู่เรื่อยๆ
เชิญฟังเพิ่มเติม ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ