ไม่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

 
เมตตา
วันที่  16 ก.พ. 2567
หมายเลข  47402
อ่าน  306

สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๗

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลเอก

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 187

ที่ชื่อว่าบุคคลเอก เพราะอรรถว่ากระไร? เพราะอรรถว่า ไม่มีผู้อื่นเหมือน เพราะอรรถว่าพิเศษโดยคุณ เพราะอรรถว่า เสมอกับพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีบุคคลเสมอ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ไม่เหมือนกับมหาชนทั่วไป โดยคุณคือโพธิสมภารนับตั้งแต่ทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ตามลำดับและโดยพระพุทธคุณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบุคคลเอก เพราะอรรถว่า ไม่มีใครเหมือนบ้าง.

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงมีคุณพิเศษกว่าคุณของเหล่าสัตว์ผู้มีคุณทั่วไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อบุคคลเอก เพราะอรรถว่า มีความพิเศษโดยคุณ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนๆ ไม่เสมอด้วยสัตว์ทุกจำพวก แต่พระผู้มีพระภาคเจ้านี้พระองค์เดียวเท่านั้นเป็นผู้เสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยพระคุณคือรูปกาย และพระคุณคือนามกาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า บุคคลเอก เพราะอรรถว่าเสมอกับพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ.


อ.ธีรพันธ์: บุคคลในครั้งพุทธกาล ท่านก็มีการกล่าวขานกันว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่นั่นที่นี่ ไม่เคยถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม เขาก็สามารถบอกได้ว่า นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับนั่ง ทรงแสดงพระรรมอยู่ครับ ซึ่งเป็นความต่างกับคนสมัยนี้ที่ไม่ได้เห็น แต่ก็รู้ว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนสมัยนั้นก็ยังเห็นนะครับท่านอาจารย์ เห็นพระองค์นั่งประทับแสดง ถ้าใครถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม เขาก็คงพูดว่า มีจริง ท่านอาจารย์ครับจะมีความต่างกันอย่างไรครับ?

ท่านอาจารย์: ใครล่ะ ที่แสดง?

อ.ธีรพันธ์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ

ท่านอาจารย์: คำว่า สัมมาสัมพุทธเจ้าหมายความว่าอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองครับ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้ว่า ตรัสรู้คืออะไร ตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง จะรู้บ้างไหมว่าท่านผู้นี้ที่กำลังแสดงธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อ.ธีรพันธ์: กล่าวไม่เต็มปากครับ

ท่านอาจารย์: ไม่เต็มปากหมายความว่าอย่างไร?

อ.ธีรพันธ์: ก็คือก็ยังมีความเข้าใจไม่เกิดขึ้นว่า อาจจะมีความคิดแย้งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเป็นใครด้วยซ้ำไปโดยที่ยังไม่รู้ว่า ธรรมที่ทรงแสดงนั้นคืออะไร

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จริงไหมที่ตอบว่า ท่านผู้นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่เข้าใจคำที่พระองค์ตรัส

อ.ธีรพันธ์: ไม่เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยครับ

ท่านอาจารย์: ต่อให้ประทับต่อหน้า ได้ฟังคำ แต่ไม่เข้าใจคำ จะรู้ไหมว่า พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อ.ธีรพันธ์: แม้เห็นพระองค์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าคนสมัยนี้อีกด้วยซ้ำไปครับ ท่านอาจารย์ถามคำถามนี่ลึกซึ้งมากครับ กล่าวว่าเป็นพระพุทธเจ้าแต่ไม่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะเห็นจริงอย่างไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ต้องเข้าใจทุกคำที่พระองค์ตรัส เพราะไม่เคยได้ฟังมาก่อนใช่ไหม แต่เป็นความจริงถึงที่สุดที่กำลังปรากฏความจริงนั้นให้เข้าใจได้ แล้วทำไมแต่ก่อนทั้งๆ ที่มีสิ่งที่ปรากฏก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ฟังแล้วความจริงเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ผู้ตรัสรู้ความจริงแน่นอน มิเช่นนั้นจะกล่าวถึงความจริงนั้นไม่ได้

อ.ธีรพันธ์: ครับ แม้อยู่ในที่ไกล ได้ยินได้ฟังแม้ไม่เห็นพระองค์ประทับ นี่ก็ความเข้าใจที่เกิดขึ้นครับ ช่างซาบซึ้งจริงๆ ครับ เพราะว่าความเข้าใจเท่านั้นที่จะให้รู้ว่า ใครที่กล่าวคำจริงนี้ครับ

อ.อรรณพ: ประเด็นของ อ.ธีรพันธ์ก็น่าคิดนะว่า บุคคลในสมัยพุทธกาลใกลัๆ พระวิหารเชตวัน ก็มีเดียรถีร์ อัญเดียรถีร์ ปริพาชก อยู่ไม่น้อย เช่นนางจิญจมานวิกา เป็นต้น ก็อยู่แถวนั้นแหละ เห็นไหม ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้จักพระองค์เลย เพราะฉะนั้น ในความคิดของอัญเดียรถีร์เหล่านั้นนะครับ ไม่มีพระพุทธเจ้า บางทีก็เรียกพระองค์ว่า พระสมณโคดมบ้าง หรือบางทีก็เรียกแบบไม่เคารพเลย เพราะฉะนั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เห็นแม้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงออกผนวชจากศากยตระกูล เขาก็รู้ พูดภาษามคธีด้วย ได้พูดกับพระพุทธองค์ด้วยก็มี หรือยิ่งกว่านั้น แม้บวชและใกล้ชิด จึงมีสังฆาฏิสูตรใช่ไหม? พวกเราคงเคยได้ยิน แม้ตามไปเบื้องหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ผู้ตามพระองค์ไปเบื้องหลัง และจับชายสังฆาฏิพระองค์ แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็ไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่แม้อยู่ไกลแสนไกล หรือว่ากาลเวลาผ่านมาแม้ครึ่งพระศาสนาแล้ว ผู้เป็นบัณฑิตที่มีปัญญา เข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนรู้แจ้งความจริง ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง รู้จักพระองค์เพราะเห็นพระองค์ด้วยธรรมจักษุ ก็ซาบซึ้งครับ

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 581

ติกนิบาต

วรรคที่ ๕

๓. สังฆาฏิสูตร

ว่าด้วยผู้ประพฤติธรรมอยู่ไกลเหมือนอยู่ใกล้พระองค์

[๒๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิแล้วพึงเป็นผู้ ติดตามไปข้างหลังๆ เดินไปตามรอยเท้าของเราอยู่ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้มี อภิชฌาเป็นปกติ มีความกำหนัดแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มี ความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติหลงลืม ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุน ไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ห่างไกลเราทีเดียว และเราก็ อยู่ห่างไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นย่อมไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรมย่อมเชื่อว่าไม่เห็นเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุนั้นพึง อยู่ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา ไม่มีความ กำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่ว ร้าย มีสติมั่น รู้สึกตัว มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์ โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ใกล้ชิดเราทีเดียว และเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้น ย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา.


ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

เหตุที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

[คำที่ ๔๙๔] อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ