ก้าวไปด้วยความเป็นเราโดยไม่รู้ธรรมที่หลอกลวง
ก้าวไปด้วยความเป็นเราโดยไม่รู้ธรรมที่หลอกลวง
ผู้ถาม : ที่อาจารย์กล่าวว่าอย่าติดเพียงแค่ชื่อ แล้วก็ให้พิจารณาการไตร่ตรองในขณะที่สติยังไม่ได้เกิด ยังไม่ได้ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ การไตร่ตรองสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันก็นับว่ามีประโยชน์ ทีนี้เราจะไตร่ตรองอย่างไรที่จะให้เป็นความเห็นถูก
สุ. : เราจะไตร่ตรองอย่างไร เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม จะไตร่ตรองอย่างไร สิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดเลย แล้วคิดว่าจะทำอย่างนั้น ความเป็นจริงที่แม้ขณะที่พูดอย่างนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะจิตคิดจึงได้พูด ศึกษาธรรมนี่ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ อย่าหวังผลคิดว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา มิฉะนั้นเราก็ก้าวไปด้วยความเป็นเราโดยไม่รู้ธรรมที่หลอกลวงว่าขณะนั้นด้วยความเป็นเราจึงทำให้คิดว่าจะทำอย่างไร แต่ขณะที่กำลังฟังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏ อันนี้คือพูดบ่อยๆ เพื่อเตือนให้เข้าใจว่าธรรมไม่ได้อยู่ไกลเลยเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันทุกขณะ เพราะฉะนั้นยิ่งฟังก็จะยิ่งเข้าใจในความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่เรา แต่ถ้ายังมีเราที่ลึกมาก และก็หวังที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้จะกั้นไม่ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีนั่นแหละเป็นสิ่งที่ไม่ควรที่จะเข้าใจว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา หรือ ญาติพี่น้องเป็นต้น ย่อมสามารถเป็นที่พึ่ง สามารถช่วยเหลือทำกิจต่างๆ ให้แก่เราได้ แต่พอถึงเวลาตายมาถึง บุคคลเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะช่วยต้านทานไว้ได้เลย
ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร? เรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเป็นเพียงจิตขณะเดียว ที่เกิดขึ้นทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะนี้จิตที่ว่านั้น (จุติจิต) ยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครทราบได้ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ จึงเป็นขณะที่สำคัญ ดังนั้น การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมกุศลในชีวิตประจำวัน ตามกำลัง ย่อมเป็นสิ่งที่สมควร
เชิญอ่าน ...
อนัตตาไม่ใช่อยู่ในหนังสือ หรือไม่ใช่อยู่ที่อื่น แต่ทุกขณะทุกอย่างที่เกิดขึ้นดับไป ให้พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เชิญอ่าน ...
"ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรม เหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้" นี่เป็นธรรมที่มีความลึกซึ้งมากจึงได้รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เพราะว่าไม่มีใครที่สามารถแสดงเหตุของธรรมทั้งหลายได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้า
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณาจารย์ มศพ.ทุกๆ ท่านที่นำธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากล่าวเพื่อให้ข้าพเจ้าและชนทุกเหล่าผู้ที่มีอวิชชาทั้งหลายได้ยินได้ฟังเพื่อจะได้มีโอกาสได้รู้ในความเป็นจริงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
ขอขอบพระคุณและขออุโมทนาในกุศลด้วยครับ