ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๔
~ ทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใด คือ ความเห็นถูกความเข้าใจถูกหรือปัญญานั่นเอง เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะมีทรัพย์อื่น ก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ อาจจะเป็นห่วง แล้วยิ่งมีทรัพย์มาก ก็ยิ่งทุกข์มากก็ได้ แต่ว่าถ้ามีปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ละคลายอกุศลค่อยๆ หมดไปจนกระทั่งไม่เกิดอีกเลยได้
~ เริ่มเห็นคุณของบารมีคุณความดีซึ่งเกิดโดยที่ว่าขณะนั้นอกุศลไม่เกิด แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มคุณความดีขึ้น ก็ย่อมสามารถที่จะเป็นทางให้ละความไม่รู้และความไม่ดี เพราะเหตุว่า ทั้งสองอย่างนี้เกิดรวมกันไม่ได้ อกุศลกับกุศลจะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ การเห็นภัยของอกุศล ย่อมจะเป็นเหตุให้กุศลเกิดและเป็นผู้ไม่ประมาทด้วย
~ ไม่มีอะไรดีเท่ากับความเป็นคนดี ต่อไปอีก ดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จะเป็นผู้ที่มั่นคงในความดีแม้เพียงเล็กน้อยนิดๆ หน่อยๆ สะสมไปโดยความไม่ประมาท เพราะเหตุว่า ประมาทเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็เป็นอกุศล
~ ละคลายความไม่ดีของตัวเองคือความไม่รู้ของเราซึ่งคนอื่นละไม่ได้ แล้วถ้าไม่คิดที่จะละก็สะสมเพิ่มพูนจนกระทั่งปรากฏอย่างที่เราเห็น ช่างร้ายเหลือเกินเวลาที่เห็นการกระทำที่ไม่ดีของใครคนหนึ่ง แต่ถ้าตัวเองทำเอง ไม่เห็นเลย และกำลังสะสมที่จะทำด้วยวันหนึ่งใครจะรู้
~ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ไม่ใช่อย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่เพื่อเข้าใจความจริง เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงว่าไม่ใช่เราแน่นอน และทั้งหมดเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้วเพื่อให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย
~ ไม่มีตา จะมีสิ่งที่กำลังถูกเห็นได้ไหมเดี๋ยวนี้? ไม่ได้, เริ่มรู้ความจริงว่าไม่มีใครสักคนเดียว แต่มีสิ่งที่เป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น จึงเป็นอย่างนั้น นี่เป็นความจริงถึงที่สุดที่ใครๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง คือ ธรรมแต่ละหนึ่ง
~ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต่างกันเป็นสองอย่าง คือ อย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง คือ เกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร รู้ไม่ได้ (คือ ไม่ใช่สภาพรู้) ต้องเริ่มอย่างนี้ จึงศึกษาธรรมต่อไปได้ เพราะว่าพอเข้าใจอย่างนี้ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ก็รู้ว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง
~ อนัตตา หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เพราะไม่มีใคร มีแต่ธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ทุกขณะใช่ไหม? เพราะฉะนั้น มั่นคงว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรม
~ ถ้าพระธรรมง่าย ก็คงไม่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าใครๆ ก็ย่อมสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมได้เอง แต่สภาพธรรมแม้ที่กำลังมีในขณะนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นธรรม เพราะเหตุว่าเป็นเรา ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นเราทั้งนั้น มองหาธรรมไม่เจอว่าธรรมอยู่ที่ไหน ต่อเมื่อใดที่ได้ฟังแล้ว ก็ไม่ต้องหาธรรมเลย เพราะว่าไม่มีวันพ้นจากธรรม แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม
~ พระธรรมที่ได้ฟัง จะทำให้บุคคลนั้นเห็นว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์ ปัญญาที่เกิดจากการเข้าใจพระธรรม ก็จะทำให้บุคคลนั้นประพฤติในทางที่ถูกต้อง บุคคลที่เข้าใจอย่างนี้ก็เริ่มเห็นโทษของอกุศล แล้วก็รู้ว่าอกุศลที่ได้ทำไปแล้วไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนๆ ก็มากมายมหาศาล ไม่ทราบว่าใครจะได้ทำกรรมอะไรไว้ แต่สามารถที่จะเข้าใจพระธรรม แล้วกระทำความดีต่อไปให้ยิ่งขึ้น
~ กุศลทุกประเภทต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย จึงจะระลึกเป็นไปในกุศล ถ้าเพียงแต่คิดเรื่องใดๆ ก็ตาม ขณะนั้นไม่ใช่สติ เช่น คิดว่าเมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง ขณะนั้นก็ไม่ใช่เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่สติ สติต้องเป็นไปในเรื่องของกุศล เพราะฉะนั้น ถ้าจิตคิดที่จะให้ทาน ขณะนั้นเพราะสติเจตสิก จึงระลึกเป็นไปในทาน เพราะว่าวันหนึ่งๆ เป็นอกุศลส่วนใหญ่ สติที่จะเป็นไปในทานหรือเป็นไปในกุศลประการใดๆ ก็ไม่เกิดขึ้น ถ้าขณะนั้นเป็นอกุศล
~ การรู้ความจริง ไม่ใช่ไปที่ไหนเลยทั้งสิ้น และไม่ใช่รู้อย่างอื่น นอกจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มั่นคงไหม? เพราะฉะนั้น ความจริงเดี๋ยวนี้สามารถรู้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง เป็นสัจจบารมี ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่เราที่เข้าใจ แต่เป็นปัญญาเจตสิกหรือสภาพที่เข้าใจซึ่งเป็นธรรมอย่างหนึ่ง
~ ขณะที่ให้ ต้องมีประโยชน์แน่นอน ประโยชน์สำหรับผู้รับที่กำลังมีความทุกข์ที่ต้องการความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็เป็นการช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นจากความทุกข์ และช่วยตนเองจากการติดข้องในสิ่งที่จะให้ด้วย
~ ความเป็นไปของแต่ละคนในแต่ละวัน แสดงถึงความเป็นจริงของการสะสมของแต่ละหนึ่งต่างๆ กัน เป็นธรรมทั้งหมด ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ มีความเข้าใจอย่างนี้ จะมีความเข้าใจ จะมีความเห็นใจ จะมีความเป็นเพื่อนกับทุกคนมากขึ้นได้ไหม?
~ เมื่อมีการรู้ความจริง ความเข้าใจก็อารักขาไม่ให้ไปในทางที่ผิด รักษาคุ้มครองไม่ให้หลงผิด
~ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น หนทางที่จะเข้าใจความจริง คือ ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้ว่าเป็นคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้หนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ไม่ใช่เรา
~ เมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ก็จะทำให้ค่อยๆ คลายความเป็นเราจนสามารถที่จะรู้ความจริงยิ่งขึ้น นี่เป็นประโยชน์ของการฟังธรรมและเข้าใจธรรม เพื่อรู้จริงๆ ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น การฟังธรรม การศึกษาธรรมเรื่องอะไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจความจริงของธรรมนั้นๆ
~ ไม่ต้องไปหาความจริงที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพราะเดี๋ยวนี้เป็นความจริงที่เห็น กำลังคิดก็จริง กำลังจำก็จริง เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา เพราะเห็นกำลังเห็น ไม่มีใครในขณะที่เห็นกำลังเห็น ต้องมั่นคงว่าธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้
~ กังวลใจทำไม เดือดร้อนใจทำไม ในเมื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้ ทำดีที่สุด เพราะว่าชีวิตสั้นมาก ใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ทำดีที่สุดและเข้าใจพระธรรม
~ ถ้าพูดถึง "กลัวตาย" คือ กลัวจะพลัดพลากจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ว่าก็ต้องเกิดอีก แล้วก็ติดอีก แล้วก็กลัวตายอีก ถึงจะกลัวตายสักเท่าไร ก็ต้องตาย จะกลัวทำไม แต่ก็อดกลัวไม่ได้ เพราะว่ายังไม่อยากจะจากสิ่งที่เรามีอยู่ในชาตินี้ จนกว่าเราจะรู้ว่าตายแล้วก็ต้องเกิด อย่างไรๆ ก็ต้องเห็น เป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีทางออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม
~ คนที่ทำอกุศลมามาก ควรแก่การสงสารหรือเปล่า? ควรแก่การเห็นใจว่าเขาจะต้องได้รับผลแน่นอน และมีทางใดที่จะช่วยให้เขาได้เข้าใจถูกต้องเพื่อที่จะมีประโยชน์ต่อไปกับชีวิตของเขาที่จะไม่ประพฤติอย่างนั้นอีก ไม่ดีกว่าหรือ?
~ โกรธเขาทำไม เสียเวลา เป็นโทษของเราเอง ถ้าเราตายขณะนี้ คนที่เราโกรธ เขาสบายมากเลย แต่เรามีความโกรธไปด้วยถึงชาติหน้า เพราะเหตุว่าเราสะสมความโกรธในขณะนั้น เป็นการสะสมของแต่ละบุคคลซึ่งแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย
~ ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะรู้โทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของกุศล คนอื่นไม่เดือดร้อนเลยในความคิดที่เป็นอกุศลของตัวท่าน เพราะฉะนั้น ท่านต้องทราบว่าตัวท่านเท่านั้นที่จะละคลายไถ่ถอนอกุศลได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะทำแทนได้เลย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๕๓
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...