พยายามคิดที่จะรู้สิ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่มี_Varanasi.India.

 
เมตตา
วันที่  7 มิ.ย. 2567
หมายเลข  47817
อ่าน  302

พยายามคิดที่จะรู้สิ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่มี_Varanasi.India.

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ -หน้าที่ 197

ข้อความบางตอนจาก

อวิชชาสูตร

[๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อน แต่นี้อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อวิชชามีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่านิวรณ์ ๕ แม้นิวรณ์ ๕ เรา ก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่หีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรกล่าวว่า ทุจริต ๓

ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้

การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การไม่ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์

ความไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายให้บริบูรณ์

การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังความไม่มีสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์

ความไม่มีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่สำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์

การไม่สำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังทุจริต ๓ ให้บริบูรณ์

ทุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังนิวรณ์ ๕ ให้บริบูรณ์

นิวรณ์ ๕ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังอวิชชาให้บริบูรณ์

อวิชชานี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้.


[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ -หน้าที่ 1

ข้อความบางตอนจาก

อวิชชาสูตร

ว่าด้วยอวิชชาและวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งอกุศลและกุศล

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

[๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นหัวหน้าในการยังอกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เกิดร่วมกับความไม่ละอายบาป ความไม่สะดุ้งกลัวบาป ความเห็นผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้ไม่รู้แจ้ง ประกอบด้วยอวิชชา ความดำริผิดย่อมเกิด มีแก่ผู้มีความเห็นผิด เจรจาผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริผิด การงานผิด ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาผิด การเลี้ยงชีพผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานผิด พยายามผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพผิด ระลึกผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามผิด ตั้งใจผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้ระลึกผิด


ชาวอินเดีย: อยากถามเรื่องอาหาร และที่อยู่ว่า ความเข้าใจของชาวพุทธ มีไหมที่จะเลือกอาหารและที่อยู่ มีไหมที่เขาว่าอาหารอะไรที่เหมาะ สถานที่อยู่ที่เหมาะครับ

ท่านอาจารย์: จะฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?

ชาวอินเดีย: ครับ

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

เห็นแล้วคิดเ องบ้าน เป็นต้น ทุกเรื่อง ถ้าไม่เห็นก็ไม่คิดเรื่องนั้นๆ

เกิดแล้วอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่กินอาหาร แต่ไม่รู้ว่า อาหารคืออะไร? เพราะฉะนั้น ต้องรู้ทุกอย่างแม้แต่คิดว่า เกิดแล้วก็ต้องหาอาหารที่ชอบ คิดเรื่องอาหาร ขณะนั้นเป็นธรรมหรือเปล่า?

ถ้ามีเรื่องที่อยากรู้ แล้วก็พยายามที่จะรู้เรื่องที่อยากรู้ แต่ไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร? เมื่อเป็นอย่างนั้น ไม่มีวันที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไม่ได้เมื่อไม่รู้จักพระองค์

อยากรู้เรื่องอาหาร แต่ไม่รู้ว่า อาหารคืออะไร? อาหารเป็นธรรมหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ไม่รู้ว่า อาหารคืออะไร

ท่านอาจารย์: อยากรู้ทุกเรื่อง แล้วจะรู้ได้ไหมถ้าไม่รู้ ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ อะไรมีประโยชน์กว่ากัน รู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ กับพยายามที่จะรู้สิ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่มี

เวลาที่มีผู้ไปเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอะไร ถ้าคนที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกรธ ไม่พอใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างไร?

เราไม่สนใจที่จะฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สนใจที่จะ คิด สิ่งที่เราอยากรู้โดยไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจ ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และเดี๋ยวนี้มีอะไร?

ชาวอินเดีย: ความจริงของการหลุดพ้นจากการเกิด และตายนั่นคืออะไร

ท่านอาจารย์: กำลังโกรธ ไม่ให้พ้นจากความโกรธหรือ?

ชาวอินเดีย: ตอนที่โกรธ ไม่ได้คิดว่าจะละ จะหลุดพ้นจากโกรธ

ท่านอาจารย์: แล้วไม่พ้นจากโกรธ เพราะว่า โกรธเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ โกรธก็เกิดอีกเมื่อมีปัจจัย

ขณะนี้เหมือนกำลังเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทูลถามว่าอะไร แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร? โกรธมีจริงไหม?

ชาวอินเดีย: มีจริงครับ

ท่านอาจารย์: พระองค์จะตรัสว่า สิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา ตราบใดที่มีเหตุให้โกรธ เพราะมีเหตุที่จะให้โกรธ คนที่อยากไม่โกรธก็ต้องรู้ว่า โกรธคืออะไร? โกรธเพราะอะไร? และจะไม่โกรธได้เพราะอะไร?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทรงตรัสหนทางที่จะทำให้โกรธเกิดอีกไม่ได้เลย และไม่ใช่เพียงโกรธเท่านั้น ทุกอย่างที่มีเหตุให้เกิดแล้วดับ พระองค์ตรัสถึงเหตุนั้นที่ว่า จะไม่ต้องเกิดไม่ต้องดับอีกต่อไป

ถ้าไม่ชอบให้โกรธเกิด ไม่อยากให้โกรธเกิด แล้วอย่างอื่นล่ะ นอกจากโกรธ อยากให้เกิดไหม?

ไม่อยากให้โกรธเกิด แล้วไม่อยากให้เห็น เดี๋ยวนี้ เกิดไหม?

ถ้ายังเห็น ก็ต้องโกรธ ตราบใดที่มีเหตุที่จะให้โกรธเมื่อเห็น

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้โกรธเกิด ก็ต้องไม่อยากให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกเกิด จึงจะไม่โกรธได้ นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

ชาวอินเดีย: ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเกิด เพราะไม่รู้ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารา

เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงถึงสิ่งต่างๆ ไม่เกิดอีกเลย เพราะว่าขณะนี้สิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นดับ ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนไม่มีก่อนเกิด

เพราะฉะนั้น พระองค์ตรัสรู้หนทางที่จะไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดอีกเลย

ถ้ารู้ความจริง สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ต่างกันทุกอย่างตามเหตุตามปัจจัย ก็จะรู้ได้ว่า เกิดแล้ว ไม่มีใครทำ แต่มีเหตุที่จะให้โกรธเกิด โกรธก็เกิด มีเหตุที่จะให้ติดข้อง ไม่โกรธแต่อยากได้ อยากได้ก็ต้องเกิดไม่สิ้นสุด

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

สิ่งที่กำลังปรากฏ

... ข้ามสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า?

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

คิดมีจริง เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ