บุคคลผู้มีปัญญาทราม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตปนียสูตร
(ว่าด้วยธรรม ๒ อย่างเป็นเหตุให้เดือดร้อน)
บุคคลผู้มีปัญญาทราม กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอกุศลกรรมอย่างอื่น อันประกอบด้วยโทษ ไม่กระทำกุศลกรรม กระทำแต่อกุศลกรรมเป็นอันมาก เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรก.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯลฯ นี้ เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต
ทุกข์เป็นของธรรมดา และเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ ก็เป็นธรรมดาด้วย เพราะเหตุว่า ธรรมดาทุกคนพอใจในโลภมูลจิต เมื่อมีความยินดีพอใจซึ่งเป็นโลภมูลจิตในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส เพลิดเพลินไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นทุกข์ก็ต้องเป็นธรรมดาด้วย เพราะเหตุว่าเหตุที่จะให้เกิดทุกข์เป็นธรรมดา ธรรมดาหรือไม่ธรรมดา โลภะ
จุดตั้งต้น ก็คือ การฟังพระธรรม และไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็พิจารณาหาเหตุผล เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมถึง 45 พรรษาตลอดพระชนม์ชีพ นับตั้งแต่เมื่อได้ตรัสรู้แล้วได้เดินทางไปโปรดปัญจวัคคีย์
เวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น แล้วก็มีนามธรรมและรูปธรรม เกิดดับสืบต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการคลอดจากครรภ์ของมารดา ขณะนั้น มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายรู้กระทบสัมผัสสิ่งที่ปรากฏ แต่ใครไปพูดอะไรด้วย เข้าใจไหม เด็กที่เพิ่งเกิด ไม่รู้เรื่องเลย แต่ว่ามีการเห็นสิ่งที่ปรากฏ มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและเมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงแต่สภาพธรรมชนิดหนึ่ง ก็ยึดถือในอาการที่ปรากฏซึ่งเสมือนไม่เกิดดับว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นก็มี “สัมมุติ” คือ การยึดถือสภาพธรรม เพราะไม่รู้ปรมัตถธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
“กามภพ” อุปมาเหมือนคอกโค ส่วน “อวิชชา” เป็นเหมือนเสาหลักที่คอกของลูกโค สังโยชน์ทั้ง ๑๐ คือ ทั้งโอรัมภาคิยสังโยชน์และอุทธัมภาคิยสังโยชน์ เป็นเหมือนเชือกสำหรับผูกลูกโคที่เสาหลัก และสัตว์ผู้เกิดแล้วในภพทั้ง ๓ เป็นเหมือนลูกโค
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนว่า
โลภะ ความยึดมั่น ความติด ความผูกพันในทุกอย่าง จะนำมาซึ่งความทุกข์
โทสะ เป็นสภาพธรรมที่หยาบกระด้างประทุษร้าย ทำลาย
อกุศลทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากโลกไหน ไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน วันหนึ่งๆ ทำอะไร เพราะอะไร ก็ไม่รู้ ที่ทั่วโลกกำลังลำบากนั้น เพราะเป็นทาสของความรู้สึกที่เป็นสุขซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้สิ่งที่พอใจ
แม้ความคิดนี้ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งที่เกิดเพราะได้เคยฟัง เคยพิจารณามาก่อน ก่อนนี้ไม่เคยคิดอย่างนี้เลย เกิดคิดแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ความคิดของใคร เพราะจะหาความเป็นใคร ของใครจากสิ่งที่เกิดแล้วดับทันทีได้จากไหน
ชาติไหนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ชาตินั้นประเสริฐสุด เพราะว่าไม่ใช่ทุกชาติจะได้ฟัง ถ้าเกิดเป็นสัตว์ แมว นก หนู ก็ไม่มีโอกาสเลย ถ้าเกิดในประเทศที่ไม่มีคำสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีโอกาสอีก ถ้าไม่มีบุญที่
สะสมไว้ในอดีตก็ไม่มีโอกาสได้ฟังแน่นอน เพราะเสียงก็มีตั้งหลายเสียง แต่เสียงที่จะให้เข้าใจพระธรรม ต้องเป็นเสียงซึ่งบุญที่ได้กระทำมาแล้วเป็นปัจจัยทำให้ได้ยิน
ธรรมะเตือนใจ
www.dhammahome.com/audio/topic/4526
ผู้ที่ยังเป็นปุถุชนก็จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่มีแต่ทิฏฐิวิปลาสเท่านั้น ขณะใดที่ยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แม้ว่าขณะนั้นไม่ได้มีมิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมด้วย จิตที่เป็นโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ขณะใด ขณะนั้นก็เป็นสัญญาวิปลาสและจิตวิปลาส
แนวทางเจริญวิปัสสนา