อาสาฬหบูชา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ภาค ๒ ตอน ๒ หน้าที่ ๖๒
"บุคคลไม่ควรทำคำแสยงขนของคนเหล่าอื่นไว้ในใจ, ไม่ควรแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคนเหล่าอื่น, พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้น." พึงพิจารณาเนืองๆ ว่า "วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่"
เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นผู้ไม่รู้ต่อไป ไม่คุ้มค่าเลยกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ยากแสนยากแต่ไม่ได้สะสมปัญญา ก็จะทำให้ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ และจะไม่รู้อีกต่อไปนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะพ้นไปได้
อ.คำปั่น อักษรวิลัย
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ
ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้วพูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว ฉะนั้น
พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย
คาถาธรรมบถ เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑
การแสดงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง เพื่อประโยชน์แก่สัตว์
โลกนั้น ดุจวางสิ่งของนับพันอย่างลงทุกประตูเรือนที่พระธรรมไปถึง
แล้วแต่ใครจะเปิดประตูรับสมบัติมหาศาลที่กองไว้ให้ที่หน้าประตูเรือน หรือบางคนอาจจะไม่เปิดประตูเลย เพราะเหตุว่า ไม่เห็นคุณของพระธรรม
ทั้งนั้นก็แล้วแต่อวิชชาและปัญญาของแต่ละบุคคล เพราะเหตุว่าการฟังพระธรรมจะมีประโยชน์ทั้งหมด ทุกกาล บางทีโอกาสนี้อาจจะไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ แต่เมื่อฟังไปๆ ก็ย่อมมีปัจจัยที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญขึ้น และอกุศลก็ค่อยๆ ลดลง
แต่ให้เห็นคุณประโยชน์ของผู้แสดงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง เพราะเหตุว่าเปรียบเสมือดุจวางสิ่งของนับพันอย่างลงทุกประตู
เรือนที่พระธรรมไปถึง
ความรัก ความติดข้องความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ
ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง
การจักได้มาซึ่งทรัพย์อันประเสริฐ (อริยทรัพย์) ยิ่งต้องเร่งขวนขวาย กระทำการสะสมกุศลกรรมในทุกๆ ทาง
ผู้สะสมมาดี ย่อมเป็นผู้มีโอกาสได้สะสมเพิ่มอีกในปัจจุบันชาติ ตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อย และย่อมจะเป็นผู้ได้ใช้สอย (รับผล) ผลของการสะสมนั้นในอนาคตกาลทั้งใกล้และไกล
เพราะเหตุว่า ดูเหมือนว่า จะมีประโยชน์อะไร?
ต่อการที่จะเกิดมา สั้นๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป
ก็สนุก สบายเสีย ไม่ดีกว่าหรือ?
แต่ว่า ความจริงให้ทราบว่า ที่เราคิดว่า สนุก สบายเนี่ย นานแค่ไหน?
ชั่วขณะจิต ที่เกิดขึ้น แล้วก็หมดไป
แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย สักอย่างเดียว
อยู่คนเดียวด้วยปัญญา
กำลังฟังธรรม เป็นคนเดียวหรือเปล่า อยู่คนเดียวหรือเปล่า กำลังฟังธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม ด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า อยู่คนเดียวไม่ใช่ไม่มีปัญญา แต่เพราะมีปัญญาจึงรู้ว่า ไม่มีใครเลย นอกจากสภาพธรรมเฉพาะลักษณะหนึ่งซึ่งปรากฏแล้วก็หมดไป
ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ
แต่ละคำ ก็ควรจะเข้าใจความหมายจริงๆ ว่า เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจนสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า “ผู้เดียว” หรือ “คนเดียว” ได้