ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๖
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมด้วยพระมหากรุณา ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่แสนไกล แต่ถ้ารู้ว่าเขาได้ฟังแล้วเขาเข้าใจ แล้วเขาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ พระองค์เสด็จไปด้วยพระบาท เพื่อที่จะได้ให้คนนั้นมีโอกาสได้ฟัง แล้วเรามีโอกาสได้ฟัง จะฟังไหมเท่านั้นเอง? แต่ฟังพระธรรมครั้งใดก็ตาม ต้องฟังด้วยความเคารพ เพื่อรู้แล้วละ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นรู้ จากอะไร? จากการฟังแล้วไตร่ตรองจนเป็นความรู้ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ความรู้ถูก ความเห็นถูกไม่ใช่ใคร แต่เกิดเพราะมีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง
~ จะต้องศึกษาทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความจริงใจ ด้วยความตรงที่จะรู้ว่าถ้าเราขาดการไตร่ตรอง เราจะเข้าใจผิดซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ การศึกษาโดยเคารพทั้งพระธรรมและพระวินัย ไม่สายสำหรับคนเริ่ม เพราะว่าเริ่มเมื่อไหร่ เข้าใจเมื่อนั้น ทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าไม่เริ่มเลย แล้วจากโลกนี้ไป ก็ไม่ได้อะไรเลยจากโลกนี้ นอกจากกิเลสและความไม่รู้มากมายทุกวัน
~ สิ่งใดที่ไม่ผิดสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ กล้าทำไหม? เพื่อประโยชน์ของคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเองเพื่อประโยชน์ของทุกคน เพราะไม่มีเราที่จะต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่ได้เข้าใจแล้วก็ทำประโยชน์ตามความสามารถที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
~ ใครรู้จักว่าความโกรธที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยของความโกรธ ความโกรธก็เกิดขึ้น ยับยั้งบังคับบัญชาไม่ได้ นี่คือผู้ที่รู้จักความโกรธตามความเป็นจริง มีมากไหมผู้ที่รู้จักความโกรธตามความเป็นจริงอย่างนี้ คือ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
~ การสะสมความไม่โกรธซึ่งเป็นขันติ สามารถที่จะไม่โกรธได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งคงจะเป็นอีกนานแสนนานของแต่ละชีวิตของแต่ละท่าน แต่ถ้าเริ่ม เริ่มเดี๋ยวนี้ที่จะรู้สึกว่า เวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะคนอื่น แต่เป็นเพราะกิเลสของท่านเองเท่านั้น
~ ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นคิดถึงแต่ความไม่ดีของคนอื่น ลืมระลึกถึงกิเลสของตนเอง ขณะที่โกรธใคร ให้ทราบว่า ขณะนั้นลืมระลึกถึงกิเลสของตนเอง แต่ถ้าขณะใดที่สติเกิดระลึกได้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต และไม่โกรธ สามารถเกิดเมตตาเพิ่มขึ้นได้
~ ในขณะที่เกิดความขุ่นเคืองใจหรือไม่พอใจในบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม ขอให้พิจารณาดูจริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นเพราะอะไร ถ้าพิจารณาจริงๆ จะรู้ว่า ไม่ใช่เพราะคนอื่น ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ปรากฏภายนอก แต่เป็นเพราะกิเลสของตนเองทั้งสิ้น
~ เริ่มเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นไหม เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจของตนเองจึงเป็นพระพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อนุเคราะห์ให้ทุกคนได้รู้จักตัวเอง
~ การที่เมตตาจะเจริญขึ้นได้ ต้องเริ่มด้วยกัตตุกัมยตาฉันทะ ความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตา เมื่อได้ฟังพระธรรมมามากแล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม โดยเฉพาะในเรื่องของเมตตาถ้าอบรมเจริญแล้วก็ไม่ยากที่จะมีความเป็นมิตรกับทุกคนและอภัยให้ในสิ่งซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องของบุคคลอื่น แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีฉันทะ ไม่มีความพอใจที่จะอบรมเจริญเมตตาก็ยังคงขัดหูขัดตาหรือว่าขุ่นเคืองไม่พอใจในสัตว์ ในบุคคลทั้งหลาย
~ คนที่ไม่อยากโกรธ มีทางเดียว คือ ต้องอบรมเจริญเมตตา โดยการเห็นว่าน่าที่จะเจริญมากๆ ควรที่จะเจริญมากๆ มีฉันทะมีความพอใจเกิดขึ้นแล้วที่จะเริ่มเจริญเมตตา ไม่ใช่เพียงแต่ทราบว่าเมตตาดี แต่ยังไม่เจริญสักที เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นว่าดี ก็ควรมีฉันทะที่จะเจริญด้วย
~ ถ้ารู้ว่าไม่ใช่เรา ก็เห็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือว่าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นของธรรมดา และถ้าสามารถจะรู้จนกระทั่งว่าเป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียว ตัวตนอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย หลงยึดถือสิ่งที่เกิดดับว่าเป็นเราว่าเป็นตัวตน ต่อเมื่อใดปัญญาเจริญขึ้น คลายความยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับ และรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายใด ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เมื่อเกิดแล้วดับแล้ว เราอยู่ที่ไหน เราเมื่อกี้อยู่ที่ไหน เราชั่วขณะเดียวที่ได้ยินเมื่อกี้อยู่ที่ไหน? ก็ไม่มี
~ ความเข้าใจพระธรรมทำให้เป็นคนดีนี้แน่นอนที่สุด มีใครบ้างเข้าใจพระธรรมแล้วไม่ดี นั่นแสดงว่ายังไม่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น สำรวจตัวเองได้ ความเข้าใจพระธรรม ทำให้เป็นคนดีและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับทุกคนในการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ พร้อมเพรียงกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ อวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล และยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก
~ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้น สัจจะที่มั่นคงในความถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จะให้ผิดมาเป็นถูกไม่ได้ แล้วสิ่งที่ถูกแล้วจะบอกว่าผิดก็ไม่ได้ นี่คือสัจจะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความตรง ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ทุกขณะก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหา เกิดมาก็เป็นธรรม ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเป็นธรรม จะรู้ไม่ใช่ไปรู้ที่อื่น แต่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้
~ ไม่มีอะไรที่จะไปละความไม่รู้และความชั่วทั้งหลายได้ นอกจากความเข้าใจถูก เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความไม่ประมาทและด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ การเห็นกิเลสของตัวเองทำให้เห็นโทษและละกิเลสของตัวเอง มีค่ากว่าการเห็นกิเลสของคนอื่นมากมายมหาศาล
~ ต้องตายแน่ อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ พรุ่งนี้หรือวันไหนๆ ก็ได้ เตรียมตัวตาย ก็คือ เดี๋ยวนี้ทำดี ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็จะมีแต่อกุศลเกิดพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๕
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ