หนทางที่ประเสริฐ

 
nattawan
วันที่  5 ส.ค. 2567
หมายเลข  48241
อ่าน  207

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หนทางที่ประเสริฐ

หนทางมีทั้งผิดและถูก แต่หนทางที่ประเสริฐสูงสุด คือหนทางของปัญญาที่เข้าใจ สภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งจะนำไปสู่การดับกิเลสได้จนหมดสิ้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

ร้องไห้กับสิ่งที่ไม่มี

เพราะความไม่รู้และยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ว่ามีจริงๆ ด้วยความเป็นเรา จึงมีความเศร้าโศกเสียใจเมื่อสิ่งนั้นจากไปหมดไป ดังนั้นจึงควรอบรมปัญญาเพื่อค่อยๆ เข้าใจตามความจริงว่ามีเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏให้รู้แล้วก็ดับไป ไม่มีสิ่งที่เป็นเรา และของเราเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

คุณและโทษของกาม

กาม หมายถึงโลภะคือความยินดีพอใจติดข้อง และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของโลภะ เมื่ออยู่ในกามภูมิก็มีกามอารมณ์คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าพอใจ นำมาซึ่งความยินดีพอใจ จึงเป็นคุณของกาม

แต่โลภะซึ่งเป็นสภาพติดข้อง ต้องการนั้น จะนำมาซึ่งทุกข์ต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากไป เปรียบเสมือนการวางยาพิษ ซึ่งจะต้องได้รับทุกข์โทษต่อไปอย่างแน่นอน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

ถ้าจะเป็นขณะจิตที่ประเสริฐ ที่มีค่า ก็ต้องเป็นขณะจิตที่เป็นกุศล ขณะที่กุศลจิตเกิดนั่นเอง เป็นการตั้งจิตไว้ชอบ หรือ ตั้งตนไว้ชอบ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เป็นธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้สภาพธรรมเกิดขึ้นตามใจชอบได้ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แม้แต่ความเป็นผู้ว่าง่าย ก็เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งต้องเป็นกุศลธรรมเท่านั้น ในขณะที่มีการใคร่ครวญไตร่ตรองพิจารณาด้วยปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริง ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูก ละเว้นในสิ่งที่ผิด ก็เป็นผู้ว่าง่ายต่อพระธรรมคำสอน ว่าง่ายต่อการที่จะเป็นกุศล เป็นเหตุให้กุศลธรรมเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ตรงกันข้ามกับบุคคลผู้ว่ายาก ย่อมจะมากไปด้วยอกุศลธรรม เช่น ความโกรธ ความสำคัญตนถือตน ความยึดถือความเห็นของตนเอง เป็นต้น ไม่ว่าบุคคลอื่นผู้เห็นประโยชน์จะแนะนำดีอย่างไร ก็ไม่ฟัง ทั้งยังโกรธผู้แนะนำเสียอีก บุคคลผู้ว่ายาก ย่อมห่างไกลจากความเจริญด้วยกุศลธรรม และที่น่าพิจารณา คือ แม้เพียงไม่ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นผู้ว่ายากแล้ว ที่ไม่เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

โคจรในชีวิตจริง

โคจรหรืออารมณ์ ที่เป็นประโยชน์ซึ่งควรใส่ใจมี 3 อย่างคือ พระธรรมคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ให้สะสมอุปนิสัยความเข้าใจธรรมะ หรือ เป็นอุปนิสยโคจร ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลที่อารักขาจิตจากอกุศล หรือ เป็นอารักขโคจร และเมื่อมีความมั่นคงพอ ก็จะถึงการที่จิตใส่ใจผูกพันในอารมณ์ที่เป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หรือ เป็นอุปนิพันธโคจร

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

👑ทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา👒ทุกขณะในชีวิตประจำวัน เป็นสัจจะ เป็นความจริง เป็นธรรมะแต่ละอย่าง เมื่อไม่เข้าใจธรรมะ ก็ยึดถือว่าเป็นเรา👛ไม่ประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจคำสอน ก็จะนำไปสู่ความไม่ทำบาป🔔ไม่ควรเรียกร้องใหัคนอื่นไม่ทำบาป ควรเริ่มที่ตนเอง เมื่อเห็นโทษของอกุศลเห็นคุณของกุศล ก็จะเริ่มทำความดี🎁ชำระจิตจากอกุศลทั้งหมด การทำไม่ดี เกิดจากกิเลสในใจนั่นเอง🎡ขณะที่ไม่ทำบาป ขณะนั้นเป็นอะไร? ถ้ายังเป็นเรา แสดงว่ายังไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่ไม่ทำบาป เป็นธรรมะ ขณะทำบาป ก็เป็นธรรมะ ทุกขณะในชีวิตเป็นธรรมะ🎠ธรรมะทั้งหมดเพื่อละความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ จึงทำอกุศลต่างๆ ผลของอกุศลกรรมนำมาซึ่งทุกข์🎪อดทนที่จะเริ่มเข้าใจในความเป็นธรรมะเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ ฟัง อดทนที่จะฟังเรื่องที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เช่น เห็น คิดนึก สุข ทุกข์ ... สามารถค่อยๆ เข้าใจถูกว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เป็นของใครเลย🎨สิ่งใดที่ไม่ปรากฏ ก็จำว่ามีและยึดถือว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้ถึงการเกิดดับเลย และไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ🎯เกิดมาด้วยความไม่รู้ (อวิชชา) เกิดแล้วก็ไม่รู้ เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ แล้วความรู้จะเกิดเมื่อไหร่?

บ้านธัมมะ มาฆบูชา ๒๕๕๒

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

-ขณะนี้จริงไหม? ขณะนี้ทุกคนกำลังเห็น รู้ความจริงของเห็น รู้ว่าเห็นเป็นอะไรหรือยัง? ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเลยตั้งแต่เกิดจนตาย
-ตั้งแต่เกิดจนตายมีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสและคิดนึก เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีเราเลย
-ฟังธรรมเพื่อให้รู้ความจริงว่า สิ่งนี้เกิด มีอยู่ แล้วก็หมดไป
-มีสาระอะไร กับสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป

บ้านธัมมะ ๒๔ ธ.ค. ๕๑

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

การที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นๆ นั้นดีกว่าที่จะไม่มีหนทางเลย ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน ก็จะเปรียบเทียบได้ว่า ขณะที่เรายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ นั้นการที่เราไม่มีหนทาง ก็เหมือนกันการที่เราตกไปในเหวลึกที่ไม่มีทางขึ้นและมืดสนิท

เมื่อเราตกไปในเหวลึกแล้ว เราไม่ควรที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย เราควรที่จะค่อยๆ ไต่ขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราเริ่มเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนั่นเอง เพราะเราไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า โอกาสที่เราจะเข้าใจธรรม จะเหลืออีกเท่าใด เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในการที่จะให้ตนเองมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสได้ ในที่สุด

โอกาสที่เราจะเข้าใจ จะเหลืออีกเท่าใด

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nattawan
วันที่ 5 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

ภาพ คุณวันชัย ภู่งาม

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ส.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ