ผู้จัดการโลก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมะทั้งหมดความลึกซึ้งอยู่ที่ทุกคำกำลังมีในขณะนี้ และจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ... พระธรรมทั้งหมดเพื่อเข้าใจและไม่ต้องกังวลอะไรเลย เพราะเหตุว่าคำว่าเข้าใจเป็นภาษาไทย ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา เพราะว่าปัญญาที่จะไม่เข้าใจ ... ไม่มี และความเข้าใจที่ไม่ใช่ปัญญาก็ไม่มี
ความเข้าใจที่เป็นปัญญาคือสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ... เดี๋ยวนี้อยู่ที่นี่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ... เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ถ้ากลับไปบ้านหรือไปที่ไหนก็ตาม ก็ยังมีสิ่งที่ปรากฏ ขณะใดก็ตามที่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นคือประโยชน์สูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะเพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เป็นคำ ... แต่เป็นสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้!!!
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจเองต้องอาศัยพระธรรม เพราะเหตุว่าธรรมะในขณะนี้แม้มีจริงก็ต้องไตร่ตรอง มีจริงเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ไม่ปรากฏ แล้วสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดไม่ใช่อย่างใจหวัง หรือว่าอย่างใครที่ต้องการให้สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็เกิดได้ ... เป็นไปไม่ได้เลย ทุกอย่างขณะนี้เกิดแล้ว ไม่มีใครไปอยากหรือไม่อยากหรือไปทำให้เกิด แต่มีแล้ว เกิดแล้ว กำลังปรากฏให้เห็นว่าเกิดแล้ว มีแล้ว แต่ว่าอะไรที่ทำให้เกิดขึ้น ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือหลายสิ่งเพื่อจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นปรากฏว่าขณะนี้มีจริงๆ
ขณะนี้ปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกจะรู้อะไร? ก็ต้องรู้ถูกเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้ ... ไม่ต้องสนใจคำว่าสติปัฏฐาน แต่เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้เพิ่มขึ้น
เดี๋ยวนี้เพื่อจัดการโลก ต้องการจัดการให้อะไรเกิดขึ้นเป็นอย่างที่ต้องการ เมื่อไหร่ที่มีความต้องการให้อะไรเกิดขึ้นอย่างที่ต้องการ ... กำลังจัดการ
จริงๆ แล้วเราไม่ติดในคำดีกว่า ใครจะว่าจัดการโลกหรือไม่จัดการโลกก็ตาม แต่จริงๆ แล้วเราสามารถเข้าใจคำที่เราพูดแค่ไหน? ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เราพูดคำที่เราไม่รู้จักเลยตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น โลกคืออะไร? เรารู้จักโลกจริงๆ หรือเปล่า? หรือว่าโลกคือสิ่งที่มี กลมๆ เบี้ยวๆ หมุนไปอะไรอย่างนั้นหรือ? หรือว่าโลกคืออะไรกันแน่!!!
แม้แต่คำว่าโลกคำเดียว ถ้าฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ... ไม่มีเลย ... มีโลกไหม?? ... ก็มีไม่มีโลกเพราะฉะนั้นโลกคืออะไร? เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นแหล่ะเป็นโลก ... แต่ปรากฏว่ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายก็เลยปรากฏว่าเป็นโลกทั่วโลกไปหมดเลย มีภูเขา มีทะเลสาป มีคน มีสัตว์ มีต้นไม้พันธ์ต่างๆ เราก็บอกว่านี่คือโลก ... แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ... โลกไม่มี!!!
จริงๆ แล้วโลกคือแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นและดับไปนั่นแหละเป็นโลก เพราะว่าถ้าแต่ละหนึ่งไม่เกิด ... โลกไม่มี!!! แล้วก็ถ้าแต่ละหนึ่งเกิดแล้วไม่ดับก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ว่าตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างลึกลับและลึกซึ้งเกินกว่าที่ปัญญาของเราจะคิด เพราะแม้ว่าโลกปรากฏ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโลก เช่น ขณะนี้โลกปรากฏหรือเปล่า? ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ... โลกไม่มี ... ต้องไม่ลืม!!!
แต่เดี๋ยวนี้ที่มีเป็นโลกหรือเปล่า ... เพราะเกิดจึงได้ปรากฏ แต่ว่าหลายอย่างเหลือเกิน เพราะฉะนั้นโลกทางตาหนึ่งโลก โลกทางหูหนึ่งโลก โลกทางจมูกเป็นกลิ่นต่างๆ อีกหนึ่งโลก โลกทางลิ้นปรากฏเป็นรสต่างๆ อีกหนึ่งโลก และโลกทางกาย เย็นหรือร้อน เดี๋ยวนี้อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวก็เป็นอีกหนึ่งโลก ถ้าไม่มีโลกเหล่านี้เลย จะมีใจที่คิดถึงสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่ปรากฏทางกายไหม ... ก็ไม่มีอะไร
แต่ทุกวันตั้งแต่ตื่นจนหลับไม่พ้นจากหกทางหรือหกโลก เพราะฉะนั้นโลกคือสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นปรากฏว่ามี แต่ความจริงชั่วคราว แล้วก็ดับไป
เวลานี้โลกกำลังเกิดดับ จะใช้คำว่าแตกดับก็ได้ แต่ว่าการเกิดดับเนียนมาก ทันทีที่ดับไป ก็มีปัจจัยทำให้สิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย ... อย่างรวดเร็วที่สุด และใครรู้ว่าขณะนี้กำลังเกิดดับ!!! เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดดับนั่นแหละเป็นโลด ... ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ... โลกไม่มี!!! เพราะฉะนั้นสิ่ง สิ่งที่มีแต่ละหนึ่งๆ ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นโลก
จะจัดการโลกไหน?? จัดการไม่ได้แน่นอน เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้ว ไม่มีใครไปจัดการให้เกิดเลย แต่หลงเข้าใจว่ามีเราที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่าการ ฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมีอะไรบ้าง แล้วก็อะไรที่เกิด และก็อยู่ในโลกนี้ต่อไปไม่ได้ด้วย จะเห็นอย่างนี้ จะได้ยินอย่างนี้ จะได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ซึ่งพอตื่นมาก็นี่แหละตรงนี้แหละ อยู่ตรงนี้ กระทบตรงนี้ เห็นตรงนี้ จากนั้นไม่มีเมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
รูปปรากฏเมื่อมีการเกิดขึ้น แล้วก็มีเห็น มีได้ยิน แล้วก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็น ... ที่ได้ยิน มีกลิ่น มีรสสารพัดอย่างปรากฏได้เพียงแค่หกทางไม่เกินกว่านี้เลย
ค่อยๆ ศึกษาไปทีละคำ ทุกสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นและดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา ... ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
เดี๋ยวนี้มีโลกไหม?? ... มี ... เดี๋ยวนี้โลกไหน?? ... แล้วแต่อะไรปรากฏ สิ่งที่ปรากฏนั่นแหละโลก!!!
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
ผู้ฟัง เป็นผู้จัดการโลก
สุ. ไม่ได้เข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นธรรม แม้คิดก็เป็นธรรม แม้จะใส่น้ำปลา น้ำตาล หรือไม่ใส่ ก็เป็นธรรม ใครบังคับบัญชาได้ แต่ละขณะ แต่ความเป็นเราก็เข้าไปจัดการ
ผู้ฟัง แสดงว่าเราไม่มั่นคงในอนัตตา
สุ. ไม่ได้เข้าใจว่า สภาพธรรมเกิดเป็นอย่างไร ก็คือขณะนั้นเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ที่จะไม่ให้ติดในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพียงแต่ว่า ขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเกิด มีปัจจัยที่จะคิดหลากหลาย แต่ขณะนั้นก็ต้องรู้ว่า เป็นธรรม ถ้าเป็นเราจะจัดการ ก็ยังคงเป็นเราเรื่อยไป ตลอดไป
ที่มา และ รับฟังเพิ่มเติม ...