ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๐
~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีใครสามารถจะรู้ความจริงได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นการสะสมของแต่ละท่านที่ได้สะสมมาแล้ว ที่ได้เคยฟัง แต่ก็จะต้องรู้ว่าฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความละเอียดยิ่ง และต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของเราเอง แล้วก็ไม่ท้อถอยด้วย
~ ต้องรู้จักทุกอย่างที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ละเอียดชัดเจน จึงจะค่อยๆ ละความเป็นเราหรือเป็นของเราได้ นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วก็ทรงรู้ว่าคนอื่นรู้ไม่ได้ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อทุกคนที่สะสมมาแต่ละอัธยาศัยที่เมื่อฟังแล้วจะเป็นประโยชน์ คือ ยากที่จะละอกุศล แต่อย่างน้อยที่สุดรู้ว่า อกุศล ควรละ ก็ยังเป็นหนทางที่จะทำให้ค่อยๆ ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น จนกระทั่งปัญญามีกำลังและปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญาได้
~ บารมีต้องเป็นชีวิตประจำวันแน่นอน ชีวิตประจำวันไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่เมื่อฟังแล้วรู้ก็เป็นบารมีในขณะที่เข้าใจ ทุกคนไม่ชอบขณะที่โกรธใช่ไหม? ถ้าไม่มีบารมีขณะนั้นจะค่อยๆ คลายความโกรธให้น้อยลงได้ไหม? ถ้าขณะนั้นโกรธคนที่ทำให้เราไม่พอใจขณะนั้นเป็นบารมีหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ความจริงก็ยังโกรธต่อไป แต่ถ้าไม่ลืมความจริงที่ได้ฟังบ่อยๆ ขณะนั้นก็จะเห็นโทษของความโกรธ
~ โกรธไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่โกรธ ขณะที่รู้ความจริงนั้นไม่โกรธ ความไม่โกรธเป็นบารมีไหม? เพราะฉะนั้น บารมีต้องเป็นชีวิตประจำวันโดยเข้าใจความจริงขณะนั้น แต่ไม่ใช่ไปทำอะไรที่จะทำให้ไม่โกรธ พยายามไม่โกรธแต่ก็โกรธอีกแน่นอน เพราะฉะนั้น ขันติบารมีเท่าไหร่ที่จะไม่โกรธคนที่กล่าวร้ายหรือคนที่ทำให้ไม่พอใจ?
~ ปัญญาเท่านั้นที่ทำให้ถึงความเป็นผู้ประเสริฐคือเป็นพระอริยบุคคลเพราะได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เป็นธรรมไม่ว่าจะเป็นเพศไหนทั้งสิ้น ต้องเป็นความเข้าใจที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะกิเลสมีทุกวันทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพิ่มขึ้นทุกวันๆ แล้วถ้าไม่รู้ความจริง มีแต่เพิ่ม ไม่ละ เลย
~ ความเห็นผิดมีโทษมากและไม่ใช่โทษเฉพาะตนเมื่อกล่าวให้คนอื่นเข้าใจผิดตามไปด้วย โทษมากแค่ไหน นอกจากทำร้ายตนเองให้มืดต่อไปไม่รู้ความจริงแล้วยังทำลายความเข้าใจของคนอื่นให้ผิดตามไปด้วย ชีวิตสั้นมากไม่มีใครรู้ว่าจะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่จะถึงเย็นนี้จะถึงพรุ่งนี้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ ถ้ายังมีความเห็นผิดต่อไปโทษแค่ไหนโทษหนักหนาที่สุดคือไม่สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เลยมีแต่จมลงๆ
~ การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงฟังคำของพระองค์ แต่ประพฤติปฏิบัติตามด้วย จึงจะชื่อว่าเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยมีพระองค์เป็นที่พึ่ง
~ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ มีการสาธยายทบทวนสิ่งที่ได้ฟังแล้วเพื่อเข้าใจยิ่งขึ้นและเพื่อไม่ลืม
~ เริ่มเป็นผู้ตรงจึงจะสามารถรู้ตรงตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้
~ ชาวพุทธต้องตรงต่อความเป็นจริง พุทธะคือรู้ ชาวพุทธคือผู้ที่รู้ ชาวรู้ธรรม ถ้าไม่รู้ธรรมจะเป็นชาวพุทธได้ไหม?
~ อกุศลธรรม ความไม่รู้ ความติดข้อง ความไม่ดีทั้งหมดไม่สามารถทำให้รู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่ามีความไม่ดีมากน้อยแค่ไหน ความจริงของคำที่พระองค์ตรัสเปลี่ยนไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด
~ ไม่ให้เวลาของอกุศลเกิดขึ้นซึ่งมากมายอยู่แล้วในวันหนึ่งๆ ยังจะเอาเวลาของกุศลไปให้อกุศลอีกหรือ? นี่เป็นเหตุที่ทุกคนทำความดีทุกขณะ เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เป็นคุณความดีไม่ง่ายและไม่มาก อาจจะตายไปก่อนก็ได้
~ คนที่มีปัญญาแล้ว ปัญญาจะนำไปในการที่เห็นประโยชน์ของการที่มีชีวิตอยู่เพื่อความดี แต่ก็ไม่พอ ต้องเข้าใจพระธรรมด้วย แล้วความดีนั้นจะเพิ่มขึ้น นำมาซึ่งประโยชน์ทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป
~ เคยร้าย แต่พอระลึกถึงพระธรรมเท่านั้น ขณะนั้น ละแม้แต่คำร้ายๆ ที่จะพูด ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีหรือไม่ควรจะสะสมอีกต่อไป
~ ถ้ามีคนกล่าวร้ายหรือพูดสิ่งที่ไม่ดีต่อหน้าหรือลับหลังท่านก็ตามแต่ ถ้าโกรธเมื่อไหร่ ไม่ใช่เขาร้ายเท่านั้น เราก็ร้ายด้วย
~ เห็นคุณของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แล้วจะละเลยโอกาสของกุศลไหม? แต่ก่อนเคยละเลยมามาก แต่เดี๋ยวนี้ ที่ไหน ตรงไหน ก็เป็นโอกาสของกุศลทั้งสิ้น
~ สิ่งที่เกิด ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น มีความมั่นคงแค่ไหนที่จะไม่เดือดร้อนกับทุกเหตุการณ์ซึ่งเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ใครจะไปทำอะไรได้
~ ทุกคนก็ทราบว่ากิเลสมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง กว่าจะดับกิเลสได้ ก็ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วเรากว่าจะเข้าใจคำของพระองค์และรู้คุณค่าและสะสมความเข้าใจจนกว่าจะสามารถรู้จักพระองค์ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน
~ เกิดมาแล้ว ก่อนจะจากโลกนี้ไปสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ดีกว่าเกิดมาสุขทุกข์ชั่วคราว ลาภ ยศ สรรเสริญ เดี๋ยวมี เดี๋ยวหมด แล้วก็จากโลกนี้ไป เอาอะไรไปไม่ได้เลย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๙
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...