ไร้สาระ
ไม่ว่าใครจะริษยา ใครจะผูกโกรธ หรือจะเป็นกุศลประเภทใดๆ ก็ตาม สภาพธรรมไม่มีสาระ เพราะว่าเกิดดับสืบต่อตามเหตุตามปัจจัย และกลับเป็นภวังค์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าดี ไม่ว่าชั่ว ในวันหนึ่งๆ และตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ ก็เพียงแต่ ปฐมจิต ทุติยจิต คือ ออกไปสู่อารมณ์อื่น และกลับสู่ภวังค์เท่านั้นเองจริงๆ จนกว่าจะถึง ปัจฉิมจิต คือ จุติจิตของพระอรหันต์ซึ่งเป็นจิตขณะสุดท้ายจริงๆ
ถ้าจะพิจารณาให้เห็นสภาพธรรมในความไม่มีสาระ ชาติก่อนๆ จะเคย สุขสำราญ จะเคยมีปราสาทราชวัง จะเคยมีผู้ที่ผูกโกรธอาฆาตริษยาต่างๆ ก็ผ่าน ไปแล้วหมด ไม่มีอะไรเหลือจริงๆ ชาติก่อนเป็นอย่างนั้นฉันใด ชาตินี้ก็เป็น อย่างนั้นแหละ และชาติต่อๆ ไปก็จะเป็นอย่างนี้
รูปที่น่าพอใจทางตา เสียงที่น่าพอใจทางหู สั้นๆ น้อยมาก ถ้าจะให้เกิดความยินดีก็ให้เกิดความยินดีเพียงเล็กน้อย แต่โทษคือการผูกพันด้วยสิ่งที่ ไม่มีประโยชน์มากมาย
ถ้าเห็นโทษเห็นภัยอย่างนี้ ทุกคนคงจะมีวิริยะเป็นบารมีที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และที่ได้ฟังเรื่องของจิต เจตสิก รูป ซ้ำไปซ้ำมา ก็เพื่อให้สติสัมปชัญญะสามารถรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม
รับฟัง และ อ่านรายละเอียด
กว่าจะเข้าใจปรมัตถธรรม
จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของ
สภาพธรรม
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ