ความไม่รู้ลึกซึ้งมาก_บ้านรักศรีรักงาม จ.นครสวรรค์

 
เมตตา
วันที่  11 ต.ค. 2567
หมายเลข  48673
อ่าน  146

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 383

๙. ปุพพังคสูตร (๑)

ว่าด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย

[๑๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งดวงอาทิตย์เมื่อจะอุทัย คือแสงเงินแสงทอง ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย คือ สัมมาทิฏฐิ ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาวาจาย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมากัมมันตะ สัมมาวายามะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาสติย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสมาธิย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสติ สัมมาญาณะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสมาธิ สัมมาวิมุตติย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาญาณะ.

จบปุพพังคสูตรที่ ๙


[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 424

๒. สัมมาทิฏฐิสูตร

ว่าด้วยผู้เป็นสัมมาทิฏฐิเข้าถึงสวรรค์

[๒๔๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว พระสูตร นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้วอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตเห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.


[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 422

[๑๖๗๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจจเหล่านี้ของเรา บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็ญาณทัสสนะได้บังเกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯลฯ

คำว่า มีวนรอบ ๓ คือวน ๓ รอบ ด้วยอำนาจวนรอบ ๓ กล่าวคือ สัจญาณ กิจญาณ และกตญาณ. ก็ในวนรอบ ๓ นี้ ญาณตามความเป็นจริงในสัจจะ ๔ อย่างนี้ คือ นี้ทุกขอริยสัจจะ นี้ทุกขสมุทัย ชื่อว่าสัจญาณ ญาณที่เป็นเครื่องรู้กิจที่ควรทำอย่างนี้ว่า ควรกำหนดรู้ ควรละในสัจจะเหล่านั้นเทียวชื่อว่า กิจญาณ. ญาณเป็นเครื่องรู้ภาวะแห่งกิจนั้น ที่ทำแล้วอย่างนี้ว่า กำหนดรู้แล้ว ละได้แล้ว ดังนี้ ชื่อว่า กตญาณ.

คำว่ามีอาการ ๑๒ ความว่า มีอาการ ๑๒ ด้วยอำนาจอาการสัจจะละ ๓ นั้น

คำว่า ญาณทัสสนะ คือ การเห็น กล่าวคือญาณที่เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจวนรอบ ๓ อย่าง อาการ ๑๒ อย่างเหล่านี้.


ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตราบใดที่สิ่งนั้นยังมีอยู่ ก็ปรากฏให้เห็น นี่เป็นเพียงไม่กี่คำเลย แล้ว ๔๕ พรรษา แสดงจนคนที่ได้ฟัง รู้แจ้งอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตามลำดับของปัญญา กระโดดข้ามไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น การทรงแสดงอริยสัจจธรรม ๓ รอบ เพราะว่า ความไม่รู้ลึกซึ้งมาก

เพราะฉะนั้น กว่าจะเริ่มฟังให้เข้าใจว่า เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ฟังธรรมไม่ใช่ไปคิดถึงนอกห้อง ที่ภูเขา ที่ทะเล แต่สิ่งนั้นถ้าไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี ถ้าไม่มี เห็น จะมีโลกไหม? จะมีภูเขาไหม? จะมีอะไรไหม? ถ้าไม่ได้ยิน จะมีเสียงเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องราวต่างๆ ไหม? แต่ว่าเกิดดับเร็วมาก เพราะขณะเห็น ไม่ใช่ขณะได้ยิน เกิดพร้อมกันไม่ได้ อาศัยปัจจัยคนละอย่าง แม้แต่กรรมที่ทำให้เห็น ก็ต่างกับกรรมที่ทำให้ได้ยิน

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ ถ้าไม่ได้สะสมมา ทุกท่านไม่มีโอกาสได้ฟังแน่นอน หรือว่า ถ้าใครไม่ได้สะสมมา ฟังแล้วไม่สนใจ แต่ว่าคนที่ฟังแล้วเห็นประโยชย์อย่างยิ่ง ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะรู้คุณที่ยิ่งใหญ่ คือพระปัญญาคุณ

ตั้งแต่เกิดจนตาย กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ไม่เคยรู้ แต่พระองค์รู้ว่า ความไม่รู้มากมายแสนโกฏกัปป์ และกว่าจะเอาออกจากใจให้หมด จะเดี๋ยวเดียวไหม? วันเดียว ชาติเดียว ขณะเดียวได้ไหม?

ต้องเป็นความที่ตรง ถ้าปัญญาไม่เข้าใจความละเอียดขึ้น จนสิ่งนั้นปรากฏทีละหนึ่ง เพราะ เห็นเป็นหนึ่ง ได้ยินเป็นหนึ่ง แต่ปรากฏเหมือนรวมกัน เมื่อปรากฏทีละหนึ่ง แล้ว ก็หยั่งรู้ในความเป็นจริงว่า หนึ่งนั้นเป็นอะไร สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น ใครกำลังคิด สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น

เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นไม่เกิด จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น ก็ต่างกัน ต่างกันก็ต้องรู้ว่า ไม่ใช่แค่ตาต่างกันอย่างไร ไม่ใช่พูดเฉยๆ ให้ไม่คิดไม่ไตร่ตรอง หรือว่า ให้ไปคิดกันเอง แต่คิดเองคิดไม่ถึง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นสีสันต่างๆ ไม่ใช่สภาพรู้ พูดถึงโต๊ะ โต๊ะไม่รู้หรอก ไม่ว่าอะไรทั้งหมด มีความต่างกัน คือสิ่งที่เกิดมีปัจจัยทั้งนั้นจึงเกิดได้ แต่เกิดมาต่างกัน อย่างหนึ่งเกิดเป็นเขียว เป็นสิ่งที่กระทบตา เป็นสี เป็นแสง เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นอ่อน เป็นแข็ง ให้อ่อน แข็ง รู้อะไรได้ไหม? ไม่ได้ ให้รสรู้อะไรได้ไหม? ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ คำนี้สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีสภาพรู้ อะไรก็ไม่ปรากฏ นี่เกิดขึ้นแล้วรู้ไปหมด แต่ว่า ทีละอย่าง กำลังเห็นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังได้ยินรู้เสียง กำลังได้กลิ่นรู้กลิ่นรู้อื่นไม่ได้ เรากำลังพูดถึงปลาร้า เพราะฉะนั้น ก็มีจริง แต่ปลาร้าไม่รู้อะไร แต่มีธาตุรู้จักขณะที่ปลาร้าปรากฏ ว่า นี่ไม่ใช่ปลาเค็ม นี่ค่ะ เป็นธรรมทั้งหมดละเอียดขึ้น นี่เพียงเริ่มพูดถึง ธาตุรู้ สิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรม เริ่มคำเดียวว่า ธรรม ต้องชัดเจนไม่สงสัย ไม่สงสัยไม่ใช่แค่ฟังแล้วจำแล้วเข้าใจ แต่ไม่สงสัยขณะที่เห็นปรากฏ อีกขั้นหนึ่งแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งด้วยหนทางใด ทรงแสดงหนทางละ เพราะฉะนั้น หนทางไม่ใช่ไปนั่งทำอะไร หรือไปเอ่ยชื่อ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ไม่ใช่เลย แต่ขณะที่เข้าใจนั่นแหละ คือสัมมาทิฏฐิ และก็ความเข้าใจค่อยๆ เจริญขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นต้น ขั้นต่อไปมีไม่ได้ ก็พูดธรรมกันไป แต่ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่มีจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจจึงสามารถจะรู้ได้ว่า พระองค์กำลังตรัสถึงสิ่งที่มี ทุกครั้งที่ฟังธรรมเมื่อไหร่ พระองค์กำลังตรัสถึงสิ่งที่มี ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่เพราะสิ่งนั้นกำลังปรากฏแล้วไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงทรงแสดงให้เข้าใจว่า ทุกคำของพระองค์ กล่าวถึงสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้นทั้งหมด

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

กำจัดความมืดคืออวิชชาด้วยสัมมาทิฏฐิ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ และกราบยินดีในความดีของท่านพลโทชัชพัชร์ - คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ต.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ