ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๖

 
khampan.a
วันที่  13 ต.ค. 2567
หมายเลข  48695
อ่าน  916

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๖





~ ความดีง่ายๆ ทำไม่ยาก ก็คือ ฟังพระธรรม ยากไหม? ฟังดนตรีก็เคยฟัง ฟังอย่างอื่นก็เคยฟัง แต่ความดีที่ไม่ต้องเสียเวลาไปทำให้เหนื่อยยากเลย แค่ฟัง แล้วก็เข้าใจ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์หรือไม่ได้สะสมมา ก็เป็นการยาก เพราะฉะนั้น จากคนที่ไม่มีศรัทธาแล้วก็ไม่ฟัง ก็ควรที่จะสะสมศรัทธาที่เห็นประโยชน์ของการฟัง เพื่อที่จะได้ไม่ขาดการฟัง ความดีทำง่ายมาก แค่ฟัง แล้วก็สะสม แล้วเป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญาด้วย

~ ความเข้าใจธรรมเป็นบารมี เมื่อเข้าใจแล้วก็ช่วยเหลือแบ่งปันให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วยก็เป็นบารมี เป็นธรรมทาน เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถแบ่งปันธรรมให้ผู้อื่นได้เมื่อถึงเวลาที่สมควร ดำเนินตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินมาแล้ว คือ ตั้งแต่ตรัสรู้ความจริงจนถึงปรินิพพาน มิฉะนั้นแล้วผู้นั้นจะข้ามพ้นจากเหวลึกของอกุศลได้อย่างไร

~ อะไรคือสิ่งที่ปัญญาสามารถรู้ได้ในขณะนี้? สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ปัญญาสามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ จะต้องสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แน่นอน กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้ เหมือนกับชาติก่อนที่ผ่านมา การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ประเสริฐกว่าการที่จะตายไปโดยไม่ได้ฟังพระธรรมเลย เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ความไม่รู้จึงมีเพิ่มมากขึ้น

~ อดทนที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะธรรม ยาก ต้องอดทนที่จะฟัง เมื่อไหร่ นานแค่ไหน ก็อดทนฟังทีละคำจนกว่าจะเข้าใจ

~ ช่วยให้คนได้เข้าใจถูก เป็นกุศล เป็นความดี แต่ถ้าให้เขาเข้าใจผิด ตรงกันข้ามเลย ทำลายชีวิตเขาทั้งในชาตินี้และในชาติต่อไปด้วย

~ ถ้าพิจารณาจากชีวิตประจำวันจริงๆ จะเห็นได้ว่า ความทุกข์ทั้งหมดเกิดจากความไม่อดทน มีท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่าคนร่วมบ้านของท่านเวลาที่อาหารไม่อร่อย โกรธเกรี้ยว แสดงให้เห็นถึงขณะนั้นไม่อดทน เพียงอาหารไม่อร่อย ยังไม่ได้เดือดร้อน ยังไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ยังไม่ได้มีทุกข์เรื่องอื่นๆ เลย แต่แม้กระนั้นเพียงอาหารไม่อร่อยก็ไม่อดทน โวยวาย บ่นว่า เอ็ดตะโร เปรียบเทียบดูว่าถ้าเป็นผู้ที่อดทน อาหารไม่อร่อยก็เป็นเรื่องแสนจะธรรมดา จะให้อาหารอร่อยได้อย่างไรทุกมื้อ บางมื้ออาจจะเป็นอาหารที่ไม่อร่อยก็ได้ ไม่ถูกปากคนนี้ แต่อาจจะถูกปากคนนั้น แต่ถ้าตนเองรู้สึกว่าอาหารไม่อร่อย ก็แก้ไขโดยดี มีกายวาจาที่ประกอบด้วยเมตตา ปรุงใหม่ ช่วยกันเติมนั่นนิดนี่หน่อยให้รสชาติดีขึ้น ทุกคนก็สบายใจ แทนที่จะบ่น โวยวาย เกรี้ยวกราด และเวลาที่สติเกิดจะรู้ได้ว่าเพียงอดทนนิดเดียว จะทำให้ทุกอย่างดี ทุกคนมีความสุข ไม่เดือดร้อน

~ ผู้อื่นไม่ควรจะมีจิตใจที่เดือดร้อนกับเรื่องราวของบุคคลอื่นกับกรรมของบุคคลอื่น เพราะบุคคลนั้นย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา และในขณะเดียวกันนั้น ควรที่จะได้พิจารณาถึงสภาพจิตของตนเองว่า ถ้าจิตเป็นอกุศล ก็เป็นการกระทำตนเองให้เดือดร้อน เพราะได้สะสมอกุศล ความเศร้าหมองของจิตมากขึ้นซึ่งก็จะเป็นโทษเพิ่มขึ้น

~ แค่โกรธนิดเดียวก็จะแย่แล้ว โกรธทั้งวันจะเป็นอย่างไร และไม่ใช่วันเดียว ตื่นขึ้นมายังโกรธอีก ยังไม่ทำอะไร โกรธมาแล้ว สะสมไว้มากๆ อย่างนี้ ไม่เห็นโทษเลย เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เห็นพระมหากรุณาไหม? แม้โทษเพียงเล็กน้อยก็ขออย่าให้ใครมีเลย ด้วยปัญญาที่สามารถเห็นสิ่งที่เป็นโทษว่าเป็นโทษ ใครจะหวังดีอย่างนี้ ถึงที่สุดคือ แม้ความทุกข์เพียงเล็กน้อยหรืออกุศลเพียงเล็กน้อย ก็แสดงให้เห็นจนสามารถค่อยๆ คลาย และดับได้เป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด)

~ ชีวิตประจำวันของท่านผู้ฟังเคยพูดเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์บ้างไหม ต้องเคยแน่ พูดเพราะอะไร ขณะนั้นจิตเป็นอย่างไรจึงได้พูด บางท่านมีเรื่องราวของคนอื่นมากเหลือเกิน อาจจะพูดเรื่องของบุคคลอื่นลับหลัง ขอให้ทราบว่า เมื่อรู้เรื่องนั้นๆ แล้วประกอบกับกิเลสที่มีอยู่ภายในจิตใจที่สะสมไว้ เป็นปัจจัยทำให้พูดถึงเรื่องของบุคคลอื่นนั่นเอง โดยที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย และวันหนึ่งๆ ที่จะไม่พูดถึงเรื่องของบุคคลอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์ มีบ้างไหม หรือว่า เป็นเรื่องของบุคคลอื่นก็จริง แต่พูดด้วยกุศลจิตก็ได้ เป็นการแสดงสภาพธรรมให้เห็นเป็นธรรมได้เมื่อเป็นประโยชน์ เมื่อเป็นกาลที่สมควรก็กล่าวได้ด้วยจิตที่เป็นกุศล

~ การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือว่าเมื่อได้ฟังคำไหน ไตร่ตรอง จนเข้าใจคำนั้นซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เพียงแค่คำเดียว "ธรรม" รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมคืออะไร? เดี๋ยวนี้มีไหม? หรือต้องไปแสวงหาจนกว่าจะพบ? ความจริง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ต้องแสวงหาไหมสิ่งที่มีจริง? สิ่งที่มีจริงอยู่ไหน? หาเจอไหม? เดี๋ยวนี้อะไรจริงนั่นแหละคือสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คิดมีจริง ได้กลิ่นมีจริง แข็งมีจริง เสียงมีจริง เปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม? พระองค์ตรัสว่าทุกอย่างที่มีจริงมีลักษณะปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น สิ่งที่มีจริงมีลักษณะปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ สิ่งนั้นเป็นธรรม

~ ถ้าไม่สามารถอภัยให้คนที่ไม่ชอบ กุศลอื่นๆ ที่จะเจริญจากคนที่ไม่ชอบ ก็ย่อมเกิดไม่ได้ แม้วัตถุทานที่จะให้บุคคลนั้นก็ให้ไม่ได้ เพราะไม่อภัยให้ หรือเพราะยังโกรธอยู่ หรือแม้แต่ธรรมทานที่จะสนทนาธรรม ที่จะเกื้อกูล ที่จะชี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ก็ทำไม่ได้ เพราะยังไม่อภัยให้บุคคลนั้น หรือยังโกรธอยู่


~ ได้ยินได้ฟังคำไหน ขอให้เข้าใจคำนั้นเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้รู้ในความไม่ใช่เราหรือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง

~ เข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วค่อยๆ ประพฤติตามสิ่งที่ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อยได้

~ พระภิกษุจะทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยการรับเงินทอง เราควรจะเปิดเผยพระธรรมวินัยว่าพระภิกษุรับเงินทองไม่ได้ เพราะการรับเงินทองของพระภิกษุ ทำลายพระธรรมวินัย ไม่ใช่การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่การกล่าวคำจริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยความเป็นมิตร หวังดี ที่จะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง เป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา

~ ที่พึ่งจริงๆ ก็คือปัญญาความเห็นถูกซึ่งเมื่อขณะใดเกิดขึ้นขณะนั้นไม่มีอกุศลใดๆ เกิดได้เลย และถ้ามีปัญญามาก อกุศลที่สะสมมาทั้งหมดก็สามารถที่จะดับไม่เกิดอีกเลย ดีหรือไม่ พึ่งได้หรือไม่ หรือจะพึ่งอกุศล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย อกุศลไม่ใช่ที่พึ่ง

~ การสะสมมีทั้ง ๒ ฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล ถ้าฝ่ายดี อบรมเจริญไปมากขึ้น ไม่นำความเดือดร้อนมาให้เลย แต่ถ้าเป็นอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็นำมาซึ่งโทษภัยมากมาย ด้วยเหตุนี้อกุศลทั้งหลายจึงควรละให้หมดสิ้น

~
สิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ก็สามารถกล่าวให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างไร ด้วยความหวังดี ผู้หวังดีย่อมมีความเห็นต่างจากผู้หวังร้าย

~
จะไม่ละเลยโอกาสของการทำดี แม้เพียงเล็กน้อย เพราะเห็นคุณของความดี

~
ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกจะเป็นการค่อยๆ สะสมปรุงแต่งให้มีการกระทำความดี ไม่ละเลยความดีแม้เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งแต่ก่อนอาจจะไม่เคยทำ

~ ปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตไปสู่ความเจริญทั้งหลายทั้งปวง คนดีมีปัญญา ที่จะคิดชั่วๆ พูดชั่วๆ ทำชั่วๆ นั้น เป็นไม่มี



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๕




... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 13 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Wisaka
วันที่ 13 ต.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 13 ต.ค. 2567

ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 14 ต.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ