ฟังธรรมแล้วไม่ต้องไปทำอะไร_บ้านรักศรีรักงาม จ.นครสวรรค์

 
เมตตา
วันที่  15 ต.ค. 2567
หมายเลข  48705
อ่าน  216

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 398

อริยมรรควรรคที่ ๕

๑. อริยมรรคสูตร

ว่าด้วยธรรมที่เป็นอริยมรรคและไม่เป็นอริยมรรค

[๑๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง ธรรมที่เป็นอริยมรรคและธรรมที่มิใช่อริยมรรค แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่มิใช่อริยมรรคเป็นไฉน มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มิจฉาวิมุตติ นี้เรียกว่า ธรรมที่มิใช่อริยมรรค ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่เป็นอริยมรรคเป็นไฉน สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาวิมุตติ นี้เรียกว่า ธรรมที่เป็นอริยมรรค.

จบอริยมรรคสูตรที่ ๑


[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๕
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วย ปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน

ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ

ปัญญาอันเห็นชอบ ๑

ความดำริชอบ ๑

เจรจาชอบ ๑

การงานชอบ ๑

เลี้ยงชีวิตชอบ ๑

พยายามชอบ ๑

ระลึกชอบ ๑

ตั้งจิตชอบ ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณได้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


ท่านอาจารย์: แค่คำเดียว คำว่า ธรรม ตลอดหมดกี่คำก็เป็นธรรมทั้งหมด หลากหลายมาก แต่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ไม่หอม ไม่แข็ง ไม่อะไรทั้งหมด เกิดไม่มีรูปอะไรเลย แต่เป็น ธาตุรู้ คิดถึงแล้วจะเป็นลักษณะไหน ไม่มีอะไร นอกจากเกิดขึ้นรู้

เดี๋ยวนี้เองกำลังรู้ทางตา คือเห็น เดี๋ยวนี้เองกำลังรู้เสียง คือได้ยิน เดี๋ยวนี้เองกำลังรู้แข็งขณะที่กระทบสัมผัส ทั้งวัน ทั้งชาติ กี่ชาติ ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิด แต่ว่าพอฟังแล้ว เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น จะกล่าวลอยๆ ได้ไหม มีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่รู้พึ่งอะไร พึ่งอย่างไร พึ่งเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มี

คนที่ได้ฟังความจริงแล้ว เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือความเป็นมิตรที่ต้องการให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

ก็ขอกล่าวถึงคุณสพรั่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้ว ตลอดที่ได้ฟัง มีแต่ความสนใจเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าใจ หวังดีเท่าไหร่ที่จะให้คนที่ท่านได้พบได้ฟัง คำ นี้ด้วย ให้เขาเริ่มต้น อย่างน้อยที่สุด ปลูกฝังความเข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่กล่าวว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แล้วพึ่งเมื่อไหร่ พึ่งวันไหน เดี๋ยวนี้พึ่งหรือเปล่า? แต่เมื่อฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่า พระองค์เป็นที่พึ่ง ให้เราได้พึ่งพระปัญญา เพื่อที่จะได้รู้ความจริง จริงไหม? แต่ คำเดียว จะได้ไม่สับสน

เพราะฉะนั้น ธรรมมีหลายระดับมาก สิ่งที่สำคัญที่ลึกซึ้ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา เมื่อวานนี้ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้มีแน่ แต่ถ้ามีแต่วันนี้ ไม่ค่อยๆ ดับไปทีละขณะ จะถึงพรุ่งนี้ไหม ไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้แต่ละขณะที่เราบอกว่า ดูนาฬิกาซิ กี่โมงแล้ว? สิ่งที่เกิดดับเร็วกว่านั้น เกินกว่าที่จะรู้นาที ถึงเสี้ยววินาทีของเสี้ยววินาที แม้แต่ผมเส้นหนึ่งแบ่งได้เป็นเท่าไหร่ กี่ส่วน? แล้วแต่จะแบ่งอย่างไรใช่ไหม? ๑๖ ส่วนก็ได้ แล้วแต่ เส้นเดียวคือเส้นผม แต่สามารถที่จะแยกย่อยจนเป็นผง แล้วเอาผงมาต่อกัน เห็นเป็นเส้นผม เดี๋ยวเห็นเป็นคิ้ว เดี๋ยวเห็นเป็นจมูก ทั้งหมดเลย

ฟังธรรมแล้วไม่ต้องไปทำอะไร เริ่มรู้ว่า ความเข้าใจความจริง นั่นแหละ เป็นหนทางละ ความไม่รู้ ไม่ว่าพระองค์ตรัสว่า มรรคมีองค์ ๘ องค์ที่ ๑ ก็คือความเห็นถูก ถ้าไม่มีความเห็นถูก จะมีอง๕ต่อๆ ไปได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น ทุกคำละเอียดลึกซึ้ง จึงมี คำว่า ตั้งต้นแล้วตั้งต้นอีก ฟังแล้วฟังอีก เพื่ออะไร เพื่อเพิ่มความเข้าใจที่มีแล้วให้มากขึ้น เพราะจะต้องเข้าใจอีกนานมาก

๔๕ พรรษา ทุกคำ ต้องละเอียด ต้องตรง จึงจะเห็นความลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พึ่งอะไร? ไม่ใช่ให้พระองค์ให้อาหารเรา ไม่ใช่ให้พระองค์ให้หยูกยา ไม่ใช่ให้พระองค์ให้เกียรติยศ ชื่อเสียงเรา แล้วก็จากไปหมด มีใครบ้างที่ไม่ตาย เมื่อไหร่ก็ได้หมด สิ่งที่มีในโลกนี้ตามไปไม่ได้เลย นอกจากความเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นกุศล และอกุศล ไม่ได้ไปทิ้งที่ไหนเลย ไม่มีที่จะไปทิ้ง อยู่ที่จิต ไม่ได้หายไปไหน ไม่มีอะไรไปลบความเห็นผิด นอกจากความเห็นถูกทีละน้อย กว่าจะหมดจากทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเป็นพระโสดาบันไม่มีความเห็นผิดเกิดได้อีกเลย เพราะกิเลสดับ แล้วจะเกิดไม่ได้ แต่กิเลสที่ยังมี เดี๋ยวเกิดๆ ตามความไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า ไม่รู้ จึงเกิดกิเล เกิดชอบ ถ้ารู้ว่า สิ่งนั้นหมดแล้ว จะไปชอบได้อย่างไร ชอบแล้วจะมีประโยชน์อะไร มันไม่มีอีกแล้ว ค่อยๆ คลาย ไม่ใช่ตัวตนรีบๆ ไปทำให้คลาย แต่ว่า ความเข้าใจทำหน้าที่ของความเข้าใจ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา สภาพธรรมทุกอย่างเกิดขึ้นมีหน้าที่เฉพาะของตนๆ

วิชชา แปลว่าความรู้ ความเข้าใจ อวิชชา ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เป็นสภาพธรรมที่เกิดไม่รู้ ก่อนฟังธรรมนี่แหละ ไม่รู้ ความจริงของสิ่งที่มี

เพราะฉะนั้น ก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน วิชชา คือความเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจในทุกอย่าง เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับเร็วกว่าที่ใครจะคิด

ถ้าจะมีคนตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม หรือไม่ได้ ต้องรอไปก่อน? ไม่มีทางเลย ขณะที่เราสนทนาธรรมที่ จ.สมุทรสาคร คนที่ถามกำลังถาม ทันทีนั้น ก็ล้มลงตายทันทีเลย ใครจะทำอะไรได้? ฉันใด เดี๋ยวนี้ก็ฉันนั้น ทุกขณะที่เกิดไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย เร็วกว่าที่ใครจะรู้ เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเกิดแล้วๆ ๆ ๆ

เพราะฉะนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวง

ปลูกฝังความเข้าใจถูก__สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๔

ขอเชิญคลิกฟังได้ที่ ...

มอบตนต่อพระรัตนตรัย

ธรรมที่เป็นหนทาง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ และกราบยินดีในความดีของท่านพลโทชัชพัชร์ - คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ