ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๗
~ การฟังพระธรรมก็เพื่อที่จะได้เข้าใจในพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อทุกคนที่สะสมมาแต่ละอัธยาศัยที่เมื่อฟังแล้วจะเป็นประโยชน์ คือ ยากที่จะละอกุศล แต่อย่างน้อยที่สุดรู้ว่าควรละ ก็ยังเป็นหนทางที่จะทำให้ค่อยๆ ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้นจนกระทั่งปัญญามีกำลังและปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญาได้
~ คนที่มีกิเลสมาก ธรรมก็ไม่ฟัง แค่จะฟังก็ยังไม่ฟังแล้วจะไปละกิเลสอะไรได้ เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้เลย พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจถูกว่าอะไรดี อะไรชั่ว และเมื่อรู้แล้ว ท่านใช้คำว่า "อบรม" ท่านใช้คำว่า "ฝึก" ก็ได้ อะไรก็ได้ หมายความว่าจากที่ไม่เคยเป็น ก็เป็นได้ จากที่ไม่เคยมี ก็มีได้ คือ จากความโกรธที่มากเหมือนกับว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่โกรธ แต่เมื่อฟังพระธรรมแล้ว สิ่งที่ไม่คิดว่าจะมี ก็มีได้ คือ ไม่โกรธ คิดว่าจะไม่อภัย แต่ฟังธรรมแล้ว เป็นได้ คือ อภัยได้
~ ใครๆ ก็บังคับสภาพธรรมไม่ได้ ตั้งแต่เกิดจนตาย มีสิ่งที่มีจริงซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถสร้างหรือดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน ต้องมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
~ ไม่มีใครทำให้กิเลสหมด แต่รู้ว่ามีปัจจัยที่ทำให้กิเลสเกิดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความรู้ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย กิเลสก็ค่อยๆ ละลงไป ไม่มีอย่างอื่นเลยที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอกุศลได้ นอกจากปัญญา ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่เราทำได้ ถ้าไม่มีปัญญาเลยไม่เข้าใจเลย ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย
~ ค่อยๆ เข้าใจ เพราะเหตุว่าความไม่รู้มีนานมาก โลภะติดข้องด้วยความเป็นตัวตนมานานมาก กิเลสทั้งหลายสะสมมานานมาก แล้วจะค่อยๆ หมดไปได้อย่างไร มีหนทางเดียว คือ อบรมสะสมความเข้าใจถูก แล้วรู้ว่ายากอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีมานาน เหนียวแน่นและเกิดบ่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกวัน จะให้หมดไปทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
~ ต้องตายแน่ ตายแล้วต้องเกิด ที่สำคัญที่สุดเกิดที่ไหน เกิดเป็นอะไร ไส้เดือนก็มีเกิดแล้ว ปลาก็มีเกิดแล้ว นกก็มีเกิดแล้ว จิ้งจกก็มีเกิดแล้ว มาจากไหน ชาติก่อนเป็นอะไร ใครรู้ เพราะฉะนั้น จากโลกนี้จากชาตินี้ไป เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเหตุดี ผลต้องดี ถ้าเหตุไม่ดีจะให้ผลดีไม่ได้
~ วันทั้งวันอยู่กับความไม่ดีเท่าไหร่ กว่าจะรู้สึก กว่าจะเริ่มสำนึก กว่าจะเริ่มเห็นโทษว่าสะสมอกุศลสิ่งที่ไม่ดีตลอดทั้งวัน เมื่อไหร่จะดีสักที
~ อาหารจะอร่อยหรือไม่อร่อยใครจะบันดาลได้ เกิดแล้ว เป็นแล้วตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็หมด ต้องไม่ลืมเลย ไม่ว่าจะมีสิ่งที่น่าพอใจเพียงใดก็หมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย มีแต่ความติดข้องเพิ่มขึ้นๆ จนไม่เห็นอะไรนอกจากตัวเอง (เห็นแก่ตัว) อันตรายไหม? ก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้น คำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับยาวิเศษที่รักษาโรคหลงเพราะไม่รู้ หลงอะไร? หลงชอบทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอยู่ไหน หมดแล้ว
~ คนที่ไม่สามารถจะรู้ความจริง จะหลงสักแค่ไหน จะติดข้องสักแค่ไหน นับวันก็เพิ่มขึ้น ออกไม่ได้ เหมือนตาข่ายดักไว้รอบหมดทุกทาง ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
*** ~ ประการสำคัญที่สุดที่จะไม่หลงผิด คือ รู้ว่าธรรมลึกซึ้ง***
~ แต่ละท่านที่ปัญญาสามารถเจริญจนประจักษ์แจ้งความจริง ต้องอาศัยบารมี เพราะว่าอกุศลไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะไม่รู้และติดข้อง จึงเป็นเหตุให้มีการแสวงหาทุกชาติ เกิด ไม่หยุด
~ ไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายดีปานใดหรือฝ่ายเลวปานใดก็เป็นธรรม ผลก็ต้องต่างกัน ถ้าธรรมฝ่ายดี หวังจะให้ผลดี ต้องหวังไหม? เหตุดี ผลก็ต้องดี ถ้าเป็นธรรมฝ่ายชั่ว หวังจะได้ผลดีได้ไหม? ไม่ได้
~ เราไม่ใช่พระภิกษุ เราไม่ต้องประพฤติปฏิบัติอย่างพระภิกษุ แต่เราควรรู้พระวินัยของพระภิกษุ เพื่อที่จะได้ไม่ประพฤติผิดต่อพระภิกษุ เพราะฉะนั้น เราก็ศึกษาพอสมควร พระภิกษุในพระธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เราจะให้ไหม? หน้าที่ของเรา เราก็ทำหน้าที่ของเราที่จะดำรงรักษาพระธรรมวินัย ไม่ทำสิ่งที่จะทำให้พระภิกษุท่านต้องผิดพระวินัย เพราะฉะนั้น หน้าที่ของคฤหัสถ์บริษัทหนึ่งในบริษัท ๔ ในครั้งพุทธกาล ก็คือ ศึกษาพระธรรมวินัย พร้อมเพรียงกันที่จะกล่าวพระธรรมวินัยให้ได้พิจารณาไตร่ตรอง เพื่อดำรงรักษาพระธรรมวินัย สิ่งใดที่คฤหัสถ์ไม่ควรกระทำต่อบรรพชิต อย่าได้ทำ เพราะว่าเป็นการทำลายท่าน ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ผู้หวังดี แต่เป็นผู้ที่หวังโทษกับคนอื่น ต้องการให้เขาได้รับโทษจึงทำสิ่งที่เป็นโทษหรือส่งเสริมให้ทำสิ่งที่เป็นโทษ จะให้เราเป็นหนึ่งในนั้นที่จะร่วมกันทำลายหรือ? ไม่มีทาง นอกจากเคารพพระธรรมวินัยและช่วยกันประคับประคองไม่ทำสิ่งที่ผิดต่อพระธรรมวินัย
~ ผู้ที่หวังดี ไม่รีรอที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกในพระธรรมวินัย ไม่ว่าใครจะชอบใครจะชังใครจะเกลียดหรือใครจะหวังร้ายทำร้ายก็ตามแต่ ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าความดีจะไม่นำมาซึ่งผลร้าย เพราะฉะนั้น อยู่ที่เจตนาของบุคคลนั้นเพื่อประโยชน์ให้คนได้เข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัยซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่กว่าจะได้มาซึ่งพระธรรมวินัย แล้วเราจะไม่ดำรงรักษาหรือ?
~ ใครก็ตามเห็นพระภิกษุ ถ้าท่านยังไม่ได้ทำผิดให้เห็น เราจะรู้ไหมว่าท่านทำผิด เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะรำลึกถึงพระสาวกทั้งหลายแล้วบูชาคุณได้ ระลึกถึงคุณของผู้มีคุณที่ได้รู้ความจริง
~ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่ขณะไหน แต่ว่าก่อนที่จะจากไป เข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า หรือมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง พฤติกรรมที่เกิดเพราะความเห็นแก่ตัวต่างๆ ไม่คิดถึงคนอื่น ไม่คิดถึงความเดือดร้อน ไม่คิดถึงความไม่ดี ซึ่งเมื่อทําสิ่งที่ไม่ดี ผลที่ได้รับที่จะเกิดต่อไป ต้องไม่ดี
~ คนอื่นทำร้ายเราไม่ได้ จะด่า จะว่า จะพูดอะไรก็ตามแต่ เป็นกิเลสของใคร? ไม่ใช่ของเราแน่ เราไม่ได้พูด เราไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จะหวั่นไหวไหมกับคำของคนอื่น?
~ คนที่ทำอกุศลมามาก ควรแก่การสงสารหรือเปล่า ควรแก่การเห็นใจว่าเขาจะต้องได้รับผลแน่นอน และมีทางใดที่จะช่วยให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่จะมีประโยชน์ต่อไปกับชีวิตของเขาที่จะไม่ประพฤติอย่างนั้นอีก ไม่ดีกว่าหรือ?
~ ชาติหน้ายังไม่ถึง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากรรมใดจะให้ผลในชาติไหน จะให้ผลอย่างไร ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ขณะนี้ ชาตินี้ เห็นๆ กันอยู่ รู้ๆ กันอยู่ ก็ควรที่จะได้สะสมแต่สิ่งที่ดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้นต่อไป
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๖
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...