ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๐

 
khampan.a
วันที่  10 พ.ย. 2567
หมายเลข  48875
อ่าน  1,125

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๐




~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงความจริงทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ให้รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของและไม่ใช่ของใครด้วยและก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังพระธรรม จึงต้องไตร่ตรอง เพื่อที่จะเริ่มรู้ทางที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่ใช่ทางอื่น แต่เป็นทางที่จะมีความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้

~ ฟังพระธรรมเพื่อเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นปัญญานั่นเอง ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจถูกแล้วจะไปรู้ความจริงของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดในขณะนี้ปรากฏแล้วก็ดับไปได้อย่างไร ก็คือ เป็นปกติธรรมดา แต่ว่ามีการสะสมบุญมาแต่ปางก่อนที่ทำให้มีศรัทธาที่จะฟังแล้วไตร่ตรองและมีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น จนกว่าจะเห็นคุณของพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่าถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังพระธรรมที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

~ คนที่มีปัญญา เห็นประโยชน์ของการมีชีวิต เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้เลยว่าจะจากโลกนี้ไปขณะไหนได้ทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าเป็นขณะที่กำลังเข้าใจธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะที่กำลังเป็นธรรมในขณะนี้ได้ ขณะนั้นก็ประเสริฐที่สุด เพราะว่าจากไปด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูก

~ ผลดีที่คนหนึ่งๆ ได้รับ ต้องมาจากกรรมดีที่เขาได้ทำแล้ว และผลที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเราหรือกับใคร ไม่ใช่คนอื่นทำให้ เราทำเอง เพราะฉะนั้น จะไม่มีคำถามว่าทำไมต้องเป็นเรา? เพราะคำตอบ ก็คือ เพราะต้องเป็นเรา ในเมื่อทำกรรมไว้แล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นเราที่จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น เราจะให้คนอื่นมารับผลของกรรมที่เราทำไว้ ไม่ได้

~ ควรเจริญกุศลทุกทางทุกโอกาส เพราะเมื่อเป็นโอกาสของกุศลแล้วไม่ทำกุศล โอกาสของกุศลก็หมดไป โอกาสทำกุศลเป็นโอกาสที่หายากในชีวิต ในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาว่าอกุศลมากหรือกุศลมาก เมื่อมีโอกาสที่จะเจริญกุศลทางใด ก็ไม่ควรให้โอกาสนั้นผ่านไป เพราะเมื่อกุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด

~ คนมีกิเลสมากเป็นอย่างไร? พฤติกรรมทางกาย ทางวาจาเกิดจากใจซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมากเท่าไหร่ การกระทำทางกาย ทางวาจา ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ากิเลสน้อยลง ความดีก็เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น

~ เมื่อเข้าใจพระธรรมเมื่อไหร่ เท่าไหร่ ก็ละความไม่ดีไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยและก็ทำสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น ทั้งหมดเพื่อขัดเกลาชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้และความไม่ดี ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปจากความไม่รู้ความจริง เป็นรู้ความจริง ความรู้ความเข้าใจนั้น จึงค่อยๆ ละความไม่ดีจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงได้

~ อกุศลก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดปรากฏ และเมื่ออบรมธรรมที่เป็นกุศลมากขึ้น ธรรมที่เป็นกุศลนั่นแหละจะขัดเกลาบรรเทาธรรมที่เป็นอกุศลให้น้อยลงได้

~ ผู้ที่เป็นมิตรที่หวังดี มีหรือที่จะไม่ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์กับผู้นั้นเองที่จะรู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่กล่าวถึงพระธรรมวินัยก็ด้วยประโยชน์ของความเป็นมิตรที่ดีที่หวังว่าพุทธบริษัทก็จะต้องรู้ว่าถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัยให้ถูกต้องจริงๆ ก็เป็นผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนา

~ สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คำใดที่ตรัสแล้วไม่เปลี่ยน ได้ยินต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คิดนึกต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สุขต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดตามความพอใจได้ แต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ

~ ไม่ให้อกุศลเกิด ห้ามไม่ได้ แม้แต่เดี๋ยวนี้อกุศลก็ยังเกิดได้ เพราะฉะนั้น พระธรรมเท่านั้นซึ่งน่าอัศจรรย์เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องก็จะทำให้ไม่หวั่นไหวหรือว่าหวั่นไหวน้อยลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และทำสิ่งที่ถูกต้อง

~ ตราบใดที่ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดอกุศล ความรวดเร็วของอกุศลก็คือว่า ไม่นานเลย จากหลับสนิท แค่ตื่นขึ้น ถึงเวลาที่อกุศลจะเกิดแล้วทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พึ่งพระธรรมได้อย่างไร "ธัมมเตชะ (ธรรมเดช) " คือ พระพุทธพจน์ทุกคำ เป็นกำลังที่จะสามารถเผาอกุศลได้

~ ฟังพระธรรม เพื่อจะรู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด เพราะก่อนที่จะฟัง ก็เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น สามารถที่จะทนให้พิสูจน์รู้ความจริงของสิ่งนั้นได้

~ ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรมในชาติไหนอีกก็ตามแต่ จะพ้นจากความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้หรือไม่? ไม่ได้เลย ก็เพราะอย่างนี้ ก็เพราะไม่รู้ จึงฟัง ฟังเพื่อจะได้เข้าใจจนสามารถประจักษ์ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็คือเป็นลาภอันประเสริฐที่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังซึ่งยากที่จะเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏว่าเป็นอนัตตา

~ ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียด ความเป็นอนัตตาก็แสดงความเป็นอนัตตาตลอดทุกขณะ ทุกอย่าง แต่เมื่อปัญญาไม่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเห็นความเป็นอนัตตาได้ เพราะเหตุว่าอวิชชา เป็นความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น รู้ได้เลยว่ากิเลสทั้งหมด ภพชาติทั้งหมดที่ยังจะมีต่อไป ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ นั่นเอง

~ ความจริงอกุศลก็มีกันทุกคน แต่ว่าจะถึงขั้นเบียดเบียนหรือว่าไม่ถึงขั้นเบียดเบียน วันนี้เบียดเบียนหรือยัง? อาจจะเบียดเบียนโดยไม่รู้สึก คำหยาบคาย คิดว่าต้องแรงมาก แต่คำที่ไม่น่าฟังเป็นคำหยาบคายด้วยหรือเปล่า? เสียงที่เกิดจากอกุศลจิตขณะที่ไม่มีเมตตา คนอื่นฟังรู้ไหม ไม่ต้องเป็นคำหยาบมากๆ ก็ได้ นี่คือความละเอียดของธรรม ถ้ามีปัญญามากขึ้น การขัดเกลาก็เพิ่มขึ้น

~ เป็นคนดี ตรง จริงใจ ใครจะรักหรือไม่รัก เป็นความผิดของเราหรือ? ในเมื่อเราจริงใจ ดี และเป็นมิตร ถ้าใครจะไม่ชอบ ไม่ใช่ความผิดของเราเลย ไม่ใช่ว่าเราต้องเปลี่ยนเป็นคนไม่ดี เพื่อให้คนอื่นชอบ นั่นคือไม่จริงใจ ถูกลวงด้วย และเป็นอกุศลด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคนสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในธรรมมากน้อยแค่ไหน วัดได้จากการกระทำและคำพูดในทุกวันนี้

~ ธรรมดาทุกคนก็มีความเห็นผิดบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่บางคนก็มีมากจนกระทั่งไม่กล้าที่จะไปสู่ความเห็นถูก ไม่กล้าที่จะไปหาผู้ที่มีความเห็นถูก ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ผู้ที่มีความเห็นถูก แสดงให้เห็นถึงสภาพธรรมที่สะสมมาต่างๆ กัน ไม่กล้าแม้แต่จะฟังคำอธิบายที่จะทำให้มีความเข้าใจถูกในพระธรรมเกิดขึ้น

~ กล่าวถึงความไม่ดี กล่าวไม่ได้หรือ? ไม่ได้กล่าวถึงใคร แต่ไม่ดีต้องเป็นไม่ดี เพราะฉะนั้น แม้จิตในขณะนั้นก็ต้องเป็นจิตที่ไม่ใช่กล่าวร้ายมุ่งร้ายทำลายประโยชน์ แต่เพื่อให้เห็นความจริงที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จะได้มั่นคงว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใด เด็ก ผู้ใหญ่ ยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ดีคือดี ชั่วคือชั่ว เพราะฉะนั้น ก็ต้องตรงต่อเจตนาด้วยว่ากล่าวเพื่ออะไร?

~ การฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจริงๆ ใครจะเร่งรัดให้ไปรู้มากๆ ได้? เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ความเข้าใจไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมสืบต่อจนกระทั่งชาติที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม จะไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดเป็นใคร เดี๋ยวนี้ชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติก่อนก็ไม่รู้ เพียงชาติต่อไปก็ยังไม่รู้ โดยที่ไม่รู้ธรรมเลย แต่อะไรทุกอย่างที่จะเกิดในชาติต่อไป ก็เหมือนทุกอย่างที่เกิดในชาตินี้ เพราะมีปัจจัยที่จะเกิดในชาตินี้เป็นอย่างนี้

~ ขณะนี้เป็นธรรมจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ และไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดในพระไตรปิฎก ก็จะพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง เพื่อให้เข้าใจขึ้น เพื่อละความไม่รู้

~ ถ้าเราคิดว่าเราโกรธคนนั้นคนนี้ ขณะนั้นคนนั้นคนนี้ไม่มีจริงๆ แต่จิตที่กำลังโกรธเพิ่มความโกรธขึ้นทุกขณะจริงๆ ที่จะสะสมสืบต่อไป อะไรก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา ปัญญาของคนอื่นก็ละไม่ได้ นอกจากจิตใดสะสมอะไรมา ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เป็นการน้อมไปสู่การที่จะละอกุศล เพราะปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มีตัวเราที่จะไปน้อมเลย แต่ต้องเป็นความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

~ สิ่งที่ไม่ดี จะนำสิ่งที่ดีมาให้ไม่ได้เลย



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๙




... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 10 พ.ย. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 10 พ.ย. 2567

ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 10 พ.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 10 พ.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 11 พ.ย. 2567

เมื่อเข้าใจพระธรรมเมื่อไหร่ เท่าไหร่ ก็ละความไม่ดีไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยและก็ทำสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น ทั้งหมดเพื่อขัดเกลาชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้และความไม่ดี ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปจากความไม่รู้ความจริง เป็นรู้ความจริง ความรู้ความเข้าใจนั้น จึงค่อยๆ ละความไม่ดีจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงได้

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
shsso2551
วันที่ 11 พ.ย. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ