ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๑
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทรงแสดงว่าทุกอย่างที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แล้วจะให้ใครทำอะไรได้หรือ? เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่ใครที่เมื่อถูกชักชวนหรือบอกว่าให้ไปปฏิบัติธรรม ก็น่าจะสอบถาม ว่า ปฏิบัติคืออะไร และให้ไปทำอะไร เพื่ออะไร แล้วจะรู้อะไร?
~ หนทางที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ มีไหม? ก็ต้องมี หนทางนั้นคืออะไร? คือ ความเข้าใจมาจากการฟังพระธรรม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นได้
~ ถ้ามีใครชวนใครไปปฏิบัติ ก็น่าจะถามว่าไปทำอะไร ไปทำ ทำไม? ซึ่งคำตอบไม่ตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีความเข้าใจพระธรรมเลย ก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดปฏิปัตติ (ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) ได้ เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทุกคำของพระองค์ลึกซึ้ง และต้องเข้าใจถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทุกคำที่ตรัส กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว
~ ภาวนา คือ การอบรมปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งอยากจะรู้ หรือว่าไปท่องบ่นว่าขอให้ปัญญาเกิด แต่ไม่ใช่เลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการไปนั่งดู ไม่ได้ แต่ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นปัญญา สามารถที่จะทำให้คนที่ได้ฟังมีความเข้าใจถูก เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์ นี่คืออานุภาพ หรือ ปาฏิหาริย์ คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหากรุณาของพระองค์
~ คนที่ปฏิเสธปริยัติหรือสละปริยัติ แล้วใครทรงแสดงพระปริยัติ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระปริยัติ และผู้ที่กล่าวว่าสละปริยัติ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงว่า ทั้งหมดที่มี ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่งในขณะนี้ตามปกติ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ หลงว่าตัวเองรู้ แล้วชักชวนคนอื่นให้ทำสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นโทษอย่างยิ่ง
~ การประพฤติปฏิบัติด้วยความเข้าใจผิดหลงผิด ก็จะแสวงหาในทางที่ผิด ล่วงเลยไปสู่ความเห็นผิดต่างๆ เพิ่มขึ้น
~ แต่ละคนที่กล่าวคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและกล่าวคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ซึ่งจะทำให้หลายๆ คนได้พ้นจากการที่จะสะสมความเห็นผิดต่อไปซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว
~ เพียงหนึ่งขณะจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ที่เรียกว่าตาย ไม่นานเลย แค่หนึ่งขณะจิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเป็นชาติหน้าต่อไปทันที ไม่มีทรัพย์สมบัติที่เคยมีในชาตินี้ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ใครจะแสวงหาสักเท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีทางที่จะเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย และพร้อมที่จะจาก คือ หมดสิ้นไปเมื่อไหร่ได้หมดเลย
~ พุทธานุสสติ คือ สติที่เกิดขึ้นระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เคยเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้จะพูดคำว่า "พุทฺโธ" ไปทั้งวัน ก็ไม่เข้าใจอะไรเลย
~ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม และ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรม เราจึงมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ ต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่าตลอดชีวิตไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจพระธรรม จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าสิ่งอื่นไม่สามารถที่จะนำไปได้เลย นอกจากกุศลและอกุศลติดตามไป
~ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีอะไรเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ถูก ผิด อย่างไร
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำจริงหรือเปล่า ตรัสคำตรงหรือเปล่า แล้วตรัสเพื่อประโยชน์หรือเปล่า? แล้วถ้าใครที่เข้าใจถูกต้อง ควรที่จะให้คนอื่นได้รู้ถูกต้องหรือเปล่า?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เราเกิดอกุศล แต่ตรัสให้รู้ว่าสิ่งใดควร และสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่คำชม ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญสำหรับเรา แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ สามารถที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา แล้วถ้าไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ไม่สืบทอดพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระธรรมก็อันตรธาน (สูญสิ้น)
~ หนทางของการอบรมเจริญปัญญา ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละหนึ่งว่าไม่ใช่เราและไม่สามารถจะไปทำให้อะไรเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น แต่เกิดต่อเมื่อมีปัจจัยที่สมควร
~ ขณะที่อกุศลธรรมทั้งหลายเกิด ไม่สามารถทำให้เข้าใจธรรมได้ แต่ก็อย่าประมาทปัญญา เพราะว่า ขณะนี้กำลังเกิดปัญญา ท่ามกลางอกุศล อกุศลมากกว่าเยอะ แต่ปัญญาก็ยังเกิด เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่ใช่เราไปทำเลย เพราะฉะนั้น ขาดปัญญาไม่ได้ และปัญญาก็เกิดเองไม่ได้ นอกจากฟังพระธรรมและไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ คนที่ยังมีกิเลส เมื่อมีทุกข์กาย ก็เป็นเหตุให้มีทุกข์ใจด้วย แต่คนที่หมดกิเลสแล้ว แม้จะมีทุกข์กาย แต่ทุกข์ใจไม่มี
~ ธรรมทั้งหมด ฟังเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพื่อเข้าใจขึ้นๆ และสภาพธรรมที่เข้าใจกำลังทำหน้าที่, สังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมาแสนโกฏิกัปป์ อวิชชา (ความไม่รู้) และโลภะ (ความติดข้อง) มากมาย จนแม้เดี๋ยวนี้เราก็กำลังเข้าใจธรรมท่ามกลางอกุศล เพราะฉะนั้น นานแสนนานกว่าเราจะมีความมั่นคงจริงๆ ว่าฟังเพื่อเข้าใจ และความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา ความเข้าใจกำลังทำหน้าที่ไปทีละเล็กทีละน้อย
~ ไม่ค่อยจะขอโทษใคร แต่พอมีความเข้าใจถูก ถ้าเราทำผิด เราก็ขอโทษ เป็นกุศลไหมขณะที่ขอโทษ ทำให้ผู้อื่นโล่งใจ
~ จริงๆ แล้ว เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้มานานเท่าไหร่ แค่วันนี้ ความไม่รู้ก็มากแล้วถอยย้อนไปอีกเท่าไหร่ ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน แล้วอะไรจะไปละความไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ความรู้ และความรู้จะเกิดขึ้นทันทีมากมายมหาศาลไม่ได้ ต้องเป็นความจริงใจความตรงและความเห็นถูกว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด ถ้ายังเห็นว่าผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย
~ ไม่เว้นโอกาสที่จะเป็นกุศล เพราะปัญญาเห็นคุณของกุศล ถ้าขณะใดกุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล ประมาทแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญา ขณะนั้นปัญญาต่างหากที่ทำให้เจริญกุศลทุกประการ
~ เพราะไม่เข้าใจ เลยวุ่นวายกันด้วยอกุศล
~ ให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต้องไม่ลืม ให้ไม่ใช่รับ ให้คือให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ให้สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้ทำไม ใช่ไหม? แต่เมื่อสิ่งนั้นเป็นประโยชน์จึงสมควรที่จะให้ ด้วยเหตุนี้ต้องรู้สภาพของจิตว่า ขณะนั้นเป็นจิตซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่สามารถที่จะเห็นแก่คนอื่นสละให้เขาได้
~ ทานสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดคือธรรมทาน ให้คนอื่น ไม่รู้จักกันก็ได้ ใช่ไหม? แต่ว่าพร้อมที่จะให้เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ไม่เลือกว่าจะต้องเป็นใครทั้งนั้น แต่ก็เห็นประโยชน์ ที่ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสามารถเข้าใจถูก ผู้นั้นมีจิตอนุเคราะห์ มีความหวังดีเป็นมิตรที่หวังดีที่จะให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์คือได้เข้าใจคำจริง
~ การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความต้องการ กับ การกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยการสละเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ต่างกันมาก
~ ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องส่องที่ละเอียดมาก ที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจธรรมแค่ไหน คนที่เคยพูดว่า "ต้องโกรธไปจนตาย ไม่อภัยไปจนตาย" แสดงความเข้าใจธรรมแค่ไหนหรือเปล่า? เปลี่ยนได้เมื่อมีความเข้าใจ เพราะไม่ใช่เราเปลี่ยน แต่ความเข้าใจต่างหากที่รู้ว่า อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์
~ ไม่ประมาทความดีแม้เพียงขณะเดียว เพราะว่าถ้าขณะนั้นไม่เกิด อกุศลก็เกิดเพิ่มแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเริ่มเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นั่นเป็นเหตุที่จะทำให้ชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น ดีไหม? เป็นประโยชน์ ก็ดี
~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจเท่าไหร่ ประพฤติตามเท่านั้น
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เท็จ ต้องค่อยๆ ไตร่ตรอง จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหากรุณาคุณของพระองค์
~ ใครก็ตามอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เขาสะสมมาที่จะสามารถเข้าใจธรรมได้ ก็เป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าใจและเผยแพร่ความเข้าใจให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระศาสนา เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีประโยชน์ที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ก็เพราะมีความเห็นที่ถูกต้อง
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๐
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ