ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๔
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูก และเมื่อนั้นแหละจะได้รู้คุณจริงๆ ของความประเสริฐยิ่งที่ไม่มีใครเปรียบที่สามารถที่จะเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้สัตว์โลกสามารถเข้าใจถูกต้องได้ซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าใจได้
~ ตลอดพระชนม์ชีพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ประโยชน์กับคนอื่น จากแต่ละคำ แม้ว่าเขาจะอยู่แสนไกลหรือใกล้ที่จะปรินิพพาน ก็ไม่ทรงละเว้นโอกาสที่จะให้คนอื่นได้รับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เขาต่อไปในสังสารวัฏฏ์
~ เสียงที่สำคัญที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ที่มีประโยชน์มาก คือ เสียงที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง ในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ถ้ามีโอกาสได้ฟังเสียงซึ่งเป็นเรื่องของพระธรรม จะทำให้ชาตินั้นมีโอกาสอบรมเจริญปัญญา ทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นจนกระทั่งในวันหนึ่งในชาติหนึ่งนั้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
~ ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะตัวเองจะไม่มีปัญหา เราจะเข้าใจความจริง ประโยชน์ที่เราเข้าใจขึ้นแต่ละครั้งแต่ละคำ มหาศาล
~ กิเลสทั้งหมดจะค่อยๆ ละคลายได้ก็เมื่ออบรมเจริญปัญญารู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อไรดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล กิเลสอื่นๆ จึงจะค่อยๆ ละคลายได้ เพราะผู้ที่จะไม่มีโทสะ ต้องเป็นพระอนาคามีบุคคล และผู้ที่จะไม่มีโลภะและโมหะเลย ก็ต้องเป็นพระอรหันต์
~ สัจจะคือความจริงใจ ไม่หลอกลวงตัวเองและบุคคลอื่น ต้องเป็นความจริงใจ เป็นสัจจะ เป็นความจริง ท่านที่ศึกษาพระธรรมมีความจริงใจที่จะศึกษาเพื่อเข้าใจพระธรรม นั่นเป็นสัจจะ เป็นความจริงใจ แต่ถ้าศึกษาเพื่อเหตุอื่น คือ เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ หรือเพื่อสักการะ ขณะนั้นไม่ใช่ความจริงใจในการศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ไม่เป็นสัจจบารมี
~ ความโกรธ มีปัจจัยก็เกิด แต่สติอย่างละเอียดพิจารณาได้ไหมว่าไม่มีประโยชน์ ความโกรธไม่มีประโยชน์กับใครเลย การรังเกียจในกายวาจาของบุคคลอื่นก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าสติไม่เกิดอย่างละเอียดก็จะไม่เห็นว่ากายวาจาของบุคคลอื่นซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นนั้น ไม่ใช่เหตุอันแท้จริงที่จะทำให้อกุศลจิตเกิด แต่เหตุอันแท้จริง คือ การสะสมอกุศลของตนเองและไม่เห็นโทษของอกุศล ไม่จริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าจริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม สละความโกรธทันทีได้ และเมตตาก็เกิดได้ทันที
~ ทุกคนก็โกรธ แต่มีใครบ้างที่จะให้อภัย และมีใครบ้างที่จะเห็นโทษของอกุศล แม้แต่เพียงการรังเกียจในกายวาจาของบุคคลอื่นก็เป็นอกุศลแล้ว แทนที่จะเป็นมิตร เพราะถ้าเป็นมิตร ต้องเป็นไมตรี ไม่มีความรังเกียจ แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีกายวาจาที่ไม่น่าพอใจ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าบุคคลอื่นจะแสดงกิริยาอาการอย่างไรก็ตาม ผู้นั้นก็ยังเห็นประโยชน์ของเมตตาบารมี
~ ชีวิตประจำวันที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือกันจริงๆ สามารถที่จะกระทำได้ทั้งในระดับขั้นของวัตถุทาน และในระดับขั้นของธรรมทานซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเข้าใจธรรมถูกต้อง และได้ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย นอกจากนั้นการทำให้บุคคลอื่นมีความเข้าใจธรรมจะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม กุศลอื่นๆ ก็เจริญไม่ได้
~ ถ้าไม่สามารถอภัยให้คนที่ไม่ชอบ กุศลอื่นๆ ที่จะเจริญจากคนที่ไม่ชอบ ก็ย่อมเกิดไม่ได้ แม้วัตถุทานที่จะให้บุคคลนั้นก็ให้ไม่ได้ เพราะไม่อภัยให้หรือเพราะยังโกรธอยู่ หรือแม้แต่ธรรมทานที่จะสนทนาธรรมที่จะเกื้อกูล ที่จะชี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ก็ทำไม่ได้ เพราะยังไม่อภัยให้บุคคลนั้นหรือยังโกรธอยู่
~ แม้เมตตาในชีวิตประจำวันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดง่าย กุศลทั้งหมดไม่ใช่ว่าจะเกิดได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญกุศล เพราะว่าทุกคนยังมีอกุศลอยู่ การฟังธรรมก็เพื่อที่จะพิจารณาให้เข้าใจในเหตุในผล ในสภาพธรรมที่กุศลก็เป็นกุศล อกุศลก็เป็นอกุศล จนกว่าจะเห็นโทษของอกุศลจริงๆ
~ ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลยว่าเราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือลักษณะของเพื่อนจริงๆ
~ การให้วัตถุสิ่งของเพื่อสงเคราะห์ผู้ที่ขัดสนยากไร้นั้น เป็นเพียง ปลายเหตุ แต่ไม่ได้พิจารณาถึงเหตุที่ทำให้บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ที่ยากไร้ซึ่งการเป็นผู้ที่ยากไร้ย่อมเป็นผลของอกุศลกรรม ตราบใดยังมีอกุศลกรรมอยู่ ก็ยังเป็นเหตุให้ภพชาติของการเกิดมาเป็นผู้ยากไร้ต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้น การที่จะสงเคราะห์จริงๆ นอกจากจะสงเคราะห์ทางด้านวัตถุแล้วควรสงเคราะห์ให้ถึงต้นเหตุ คือ เหตุที่ทำให้เป็นผู้ยากไร้ โดยการให้เป็นผู้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง
~ อกุศลเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก แต่กุศลนี้เกิดยากและเกิดน้อย แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้อกุศลซึ่งเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก ก็เป็นเพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดมาก เกิดง่าย เกิดเร็ว หรือกุศลที่จะเกิดก็เป็นอนัตตา ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยแล้ว กุศลก็เกิด ไม่ได้
~ ตัณหาซึ่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะทำลายตัณหาออกได้ ในวันหนึ่งๆ ทุกท่านหมกมุ่นด้วยโลภะ โลภะกลืนเอาไปหมดในวันหนึ่งๆ กลืนเอาไปเสียเสร็จสิ้น ท่านที่ชอบการละเล่นชนิดหนึ่งชนิดใด เวลาของท่านในวันนั้นไม่ค่อยที่จะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไร เพราะชื่อว่า "ความหมกมุ่น ด้วยอำนาจที่กลืนเอาไปเสียเสร็จสิ้น" ในวันหนึ่งๆ เวลาส่วนมากที่ใช้ไปก็ใช้ไปด้วยโลภะ
~ ความเห็นผิดน่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และก้าวล่วงได้ยาก ถ้าเกิดยึดถือในความเห็นผิดนั้นแล้ว ที่จะปล่อยจากความเห็นผิดนั้นยาก เพราะว่าความเห็นผิดเกิดขึ้นขณะใด ในขณะนั้นจะเห็นถูกไม่ได้ แต่ขณะใดที่ความเห็นถูกเกิดขึ้น ขณะนั้นจะรู้ว่าความเห็นอย่างไรผิด และความเห็นอย่างไรถูก แต่ขณะใดก็ตามซึ่งความเห็นผิดกำลังเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นความเห็นผิด
~ เป็นคนดี เพราะธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
~ บุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและช่วยเหลือคนอื่น
~ ทุจริตทุกวงการ มาจากไหน? มาจากความไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เพราะฉะนั้น คนที่ฟังพระธรรม ก็จะไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นเป็นสิ่งที่สามารถพ้นจากการที่ไปหลงทำสิ่งที่ผิด ด้วยเหตุนี้ ฟังแล้ว รู้เลย ตลอดชีวิตมีอย่างเดียวที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะทำ ก็คือ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๓
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ