เอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 286
๒. จิตตสูตร
[๑๘๐] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรย่อมนำไป อันอะไรหนอย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่ง คืออะไร.
[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ จิต.
อรรถกถาจิตตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในจิตตสูตรที่ ๒ ต่อไป :-
บทว่า สพฺเพว จ สมนฺวตุ ความว่า ธรรมเหล่าใดย่อมไปสู่อำนาจของจิต จิตนี้ย่อมครอบงำธรรมเหล่านั้นนั่นแหละทั้งสิ้น.
จบอรรถกถาจิตตสูตรที่ ๒
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ได้ได้กล่าวถึง ความไม่รู้ที่มีมากมายในจิต ความไม่รู้ก็เป็น ธาตุรู้ ที่ก็เกิดประกอบพร้อมกันกับธาตุรู้กับจิต ในขณะนั้น จิตก็รู้แจ้งไป ถ้าความไม่รู้เกิด ความไม่รู้ก็ทำหน้าที่ ไม่เข้าใจ ในอารมณ์นี้นะครับ แล้วความไม่รู้นี่ก็สะสมไว้เป็นพืชเชื้อของจิตในจิตทุกขณะด้วย แล้วเมื่อความไม่รู้เกิด ก็เกิดประกอบพร้อมเข้ากันสนิทสนมกับธาตุรู้ต่างๆ
ผมเลยนึกถึง คำ ที่ท่านอาจารย์กล่าวตั้งแต่ที่หาดใหญ่ครับ แล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวต่อเนื่องมาที่เขมรด้วยครับ ซึ่งผมว่า เป็นความลึกซึ้งมากเลย ก็จะกราบเท้าขอท่านอาจารย์ได้กล่าวขยายให้พวกเราได้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า เอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้ เป็นความละเอียดมากเลยครับ เอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้
กราบท่านอาจารย์ใน หนทางที่จะเป็นไปได้อย่างนี้ ครับ
ท่านอาจารย์: ความไม่รู้เกิดกับ ธาตุรู้ หรือเปล่า?
อ.อรรณพ: ความไม่รู้เป็นธาตุรู้ ก็เกิดกับธาตุรู้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะเอาอะไรออกจากไหนล่ะ?
อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น ความไม่รู้นี่ก็เป็นธาตุรู้ที่เกิดเข้ากันสนิทกับธาตุรู้ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นจิต หรือเจตสิกที่เกิดด้วยกันครับ กว่าจะขจัดความไม่รู้ออกจากธาตุรู้ครับ ความละเอียดคืออย่างไรบ้างครับ
ท่านอาจารย์: ก็เดี๋ยวนี้ไงล่ะ เริ่มรู้แล้วว่า จะออกโดยวิธีไหน จะดึงออก จะไปนั่งออก จะไปเพ่งออกได้หรือ?
อ.อรรณพ: คือความไม่รู้ก็อยู่กับธาตุรู้นี่มาแสนโกฏกัปป์จนชุ่มฉ่ำจนกระทั่งนอนเนื่องอยู่อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ ก็ในขณะนี้ก็เป็นเช่นนี้ ก็ยังมีความไม่รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่เช่นนี้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รู้เมื่อไหร่ ธาตุไม่รู้จะอยู่ต่อไปได้ไหม ขณะที่รู้? ตอนเข้าใจเกิดขึ้น ความไม่รู้ไม่เข้าใจ จะยังคงอยู่ขณะนั้นได้ไหม?
อ.อรรณพ: ขณะนั้นไม่ได้ครับ เพราะขณะนั้นมีความเข้าใจถูก
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจๆ ๆ ๆ มากขึ้น ความไม่รู้จะอยู่ต่อไปมากๆ อย่างเดิมได้ไหม?
อ.อรรณพ: ครับ แต่ว่า ความไม่รู้ ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดอีก
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะหมด
อ.อรรณพ: ครับ ฟังดูยิ่งยากครับ
ท่านอาจารย์: นั่นล่ะ.. เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งของพระศาสนา เริ่มเข้าใจความหมายของพุทธศาสนา สอนเรื่องความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้รู้ว่า จริงหรือเปล่าที่ได้ฟังอย่างนี้ ถ้าจริง ก็ต้องรู้ความต่างกันของขณะที่ไม่รู้ กับขณะที่รู้
อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น การที่จะเอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้ ก็คือเจริญความรู้ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นกับธาตุรู้ในขณะนั้น ก็มีความรู้คือความเข้าใจถูก หรือปัญญาที่เกิดกับจิตในขณะนั้น ขณะนั้นก็ขจัดความไม่รู้ได้ชั่วขณะที่ความรู้เกิดขึ้น แล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า ต้องบ่อยๆ ๆ ๆ แต่ก็คงต้องบ่อยๆ อีกนานมากเลย เพราะว่า ความไม่รู้ที่อยู่กับจิตนี่เยอะที่สุดเลยครับ
ท่านอาจารย์: และแต่ละท่านที่ได้รู้ความจริง ค่อยๆ รู้มานานเท่าไหร่กว่าจะได้เอาความไม่รู้ออกไปได้
อ.อรรณพ: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ครับ ท่านพระอานนท์ก็แสนกัปป์ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วเราล่ะ เต็มไปด้วยความไม่รู้?
อ.อรรณพ: กว่าจะเอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้ สำหธาตุรู้รับพวกผมก็ต้องยาวนานแน่นอน เพราะว่า ความไม่รู้ฝังอยู่ในจิตในธาตุรู้ ความไม่รู้นี่ติดกับธาตุรู้มานานมาก แล้วผมกราบขอท่านอาจารย์กล่าวถึงหนทาง ท่านอาจารย์ก็กล่าวหนทาง คือความรู้ที่เกิดขึ้นกับธาตุรู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เกิดกับธาตุรู้ ก็ขจัดความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ๆ ๆ อต่ความไม่รู้เยอะมากครับ
เมื่อมีความรู้ ความรู้เกิดแล้วดับไป ความไม่รู้ก็เกิดอีกแล้วครับยาวนานมาก แม้ความรู้แจ้งรู้ชัดระดับที่ท่านแสดงไว้อย่างชัดเจนอย่างสูง อย่างเช่น การประจักษ์ความเกิดดับของสภาพธรรม ก็ยังมีความติดข้องความอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นพร้อมความไม่รู้อยู่อีก ขจัดยากที่สุดเลยครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจหนทางใช่ไหม หนทางเดียว มีหนทางอื่นไหม?
อ.อรรณพ: ไม่มีครับ อันนี้ตรงชัดมากเลย เพราะความไม่รู้อยู่ในจิตฝังอยู่ในจิต ทางเดียว ก็คืออบรมเจริญความรู้ที่จะค่อยๆ เกิดกับธาตุรู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เกิดกับธาตุรู้นั้น ก็จะอบรมไปๆ ซึ่งจะค่อยๆ ถ่ายถอน เหมือนยาถ่ายอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตร ถ้าเราจะคิดถึงเราจะถ่ายโรค ถ่ายพยาธิ ถ่ายอะไร ดูง่าย แต่จะถ่ายความไม่รู้ออกจากจิต ถ่ายยากที่สุดเลยครับท่านอาจารย์ ต้องเป็นยาวิเศษมากๆ เลยครับที่จะถ่าย หรือเอาความไม่รู้ซึ่งเป็นธาตุรู้ แล้วก็ฝังอยู่กับธาตุรู้ต่างๆ ก็คือจิต และเจตสิกที่ประกอบพร้อมเข้ากันสนิท ที่จะออกมา หรือมีคำว่า สำรอกออกมา โอ้โห!!
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พอได้ยิน คำว่า อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ไม่สงสัยเลยใช่ไหม?
อ.อรรณพ: ไม่สงสัยเลยครับว่า ปาฏิหาริย์ที่สุด ให้เหาะเหินเดินอากาศได้ ให้แบกจักรวาลยกขึ้นได้ ก็ไม่สามารถที่จะเอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้ได้เล ย เพราะฉะนั้น ในบรรดาปาฏิหาริย์ ๓ อย่างนี้ อนุศาสนีปาฏิหาริย์สูงสุด และก็ยากที่สุดครับ เพราะปาฏิหาริย์ขนาดไหนที่จะเอาความไม่รู้ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่ฝังอยู่กับธาตุรู้ต่างๆ ออกไปจากจิตจนหมดสิ้น แล้วก็เริ่มเห็นปาฏิหาริย์เล็กๆ น้อยๆ นะครับเมื่อได้เข้าใจในขั้นฟัง ถ้าถึงขั้นที่จะสำรอกออกมาได้นี่ โอ้โห!! จะยิ่งเห็นในความปาฏิหาริย์ขนาดไหน
ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับท่านอาจารย์ กับการที่จะเอาความไม่รู้ออกจากธาตุรู้ แต่ไม่ใช่เราที่จะไปเอาออก แต่เป็นธรรมที่เป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูก ไม่ว่าจะเอาออก ขจัด หรือสำรอก หรืออีกหลายๆ คำที่ทรงแสดงครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ความลึกซึ้งของธาตุรู้ : เกิดมามีธาตุรู้ แล้วจะรู้ไหม ถ้าไม่ฟัง
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของจิต [สคาถวรรค]
ขอเชิญฟังได้ที่..
ที่ชื่อว่าจิตเพราะอรรถว่าคิด อธิบายว่ารู้แจ้งอารมณ์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ