ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๙
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมเทศนา ๔๕ พรรษาโดยละเอียด เรื่องของสภาพธรรมล้วนๆ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังพิจารณาขั้นการฟังให้เห็นความเป็นอนัตตา ที่สภาพธรรมแต่ละอย่างจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ชั่วขณะเดียวที่เกิดทำกิจเฉพาะขณะนั้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
~ ถ้ารู้ประโยชน์จริงๆ ของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจก็จะรู้ว่าชาตินี้เป็นชาติที่มีโอกาสจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น มิฉะนั้น ก็เหมือนชาติก่อนๆ ที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี
~ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ทุกขณะก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหา เกิดมาก็เป็นธรรม ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเป็นธรรม จะรู้ไม่ใช่ไปรู้ที่อื่น แต่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลยทุกกาลสมัย ทุกอย่างแม้เดี๋ยวนี้ก็ตรงกับความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะว่า เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ตรัสว่า ธรรม ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้
~ ถ้าไม่เคยสะสมความสนใจมาเลยในอดีต ก็ไม่มีหนทาง ไม่มีปัจจัยที่จะไปเรียกร้อง แม้ว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ควรเชิญให้มาดู เพราะเป็นของจริงทุกประการ แต่บุคคลเหล่านั้นก็ไม่อาจสนใจได้
~ แต่ละคนสะสมอัธยาศัยทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลมามากน้อยแค่ไหน ซึ่งควรจะต้องอบรมเจริญขึ้นทางฝ่ายกุศล "ทำดีเท่าไหร่ ไม่มีวันพอ" ควรจะเป็นคติประจำใจจริงๆ เพราะว่าอกุศลนั้นมีมากมายที่จะต้องละ
*** ~ การศึกษาที่ไร้ประโยชน์ คือ ฟังคำของพระพุทธเจ้าแล้วคิดเองพูดเองหมด ฟังแต่ชื่อ จำแต่ความหมายแต่ไม่รู้จริงๆ ว่า สิ่งที่พูดถึง เข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ฟังแล้วรู้สึกเข้าใจถูกต้องว่าลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น เริ่มต้นแล้วเริ่มต้นอีก ดีไหม เพื่ออะไร เพื่อจะได้รู้ความจริงว่า เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแค่ไหน***
~ ความไม่รู้นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมดตั้งแต่น้อยจนถึงมาก
~ ได้ยินคำว่าธรรม เข้าใจคำว่าธรรม รู้ความหมายของธรรม แต่ยังเผิน เพราะเหตุว่าความเข้าใจ กับ อวิชชาความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ อะไรจะมากกว่ากัน ตัวเองก็ต้องตรง เวลาที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นต้องเข้าใจโทษ ต้องเห็นโทษ ไม่อย่างนั้นที่ฟังมาแล้วอยู่ไหน? ไม่ใช่เราแล้วธรรมฝ่ายไม่ดี ก็ต้องไม่ดี คิดก็ไม่ดี ทำก็ไม่ดี พูดก็ไม่ดี แล้วก็เป็นสาเหตุให้ สะสมต่อไปก็ไม่ดีๆ ไปมากขึ้น แล้วฟังธรรมทำไม? ฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงว่ายังไม่ดีอีกมาก มากแค่นี้แค่ไหน แสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา ทำให้เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเราเห็น แล้วถ้าไม่มีปัญญาเพิ่มขึ้นก็เพิ่มความไม่รู้ต่อไป
~ ทุกคนเหมือนกัน เป็นธรรมทั้งหมดแล้วแต่ว่าใคร จะสะสมมาที่จะมีธรรมอะไรเกิดขึ้นปรากฏในชีวิต เราเลือกไม่ได้เลย ไฟไหม้ คนตาย ได้ลาภ ทุกอย่างไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยสักอย่าง แม้คิดต่อไปสักหนึ่งขณะก็รู้ไม่ได้ว่าจะคิดอะไร
~ ระหว่างโกรธกับไม่โกรธ อะไรดีกว่ากัน อะไรเป็นประโยชน์ทั้งเขาและเรา คนไม่โกรธสบายใจไม่เดือดร้อนเลย และเวลาไม่โกรธ พูดกับใครพูดอย่างหนึ่ง เวลาโกรธพูดอีกอย่างหนึ่ง อะไรดีกว่ากัน
~ ใครจะร้ายสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ เป็นเรื่องของเขาที่ไม่รู้ ผลของกรรมที่เขาทำจะเป็นอย่างไร
~ อภัยทันที สบาย โล่งทันที ไม่เดือดร้อนเลย
~ ความเป็นมิตรไม่จำกัดเลย เมตตาความเป็นเพื่อนความเป็นมิตร ไม่มีประมาณ ไม่จำกัด
*** ~ เขาไม่ชอบเราก็เรื่องของเขา แต่ว่าเราไม่ทำร้ายเขา เขาจะไม่ได้รับภัยจากเราสักอย่างเดียว***
~ ในบรรดาทานทั้งหมด อามิสทานให้วัตถุช่วยเขาได้ชั่วคราวที่เขาเป็นทุกข์เดือดร้อนไม่ว่าจะให้อะไร อภัยทานมากกว่านั้นอีกถึงเขาจะร้ายอย่างไรทำอย่างไรเรื่องของเขาที่จะต้องได้รับผล เราไม่ได้เดือดร้อน สูงสุดคือธรรมทาน ถ้าเขาไม่รู้ความจริง ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นไปด้วยอำนาจของความไม่รู้และกิเลสมากมายมหาศาล
~ การฟังพระธรรม จะเห็นได้ว่า ยิ่งฟังยิ่งเห็นประโยชน์ และรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อให้ทุกคนเจริญกุศลธรรมจริงๆ ไม่ทรงให้บุคคลใดเกิดโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ และชี้แจงโทษของโลภะ โทสะ โมหะโดยละเอียด ชี้แจงประโยชน์ของกุศลธรรมโดยละเอียด
~ จุดประสงค์จริงๆ ของการฟังพระธรรมเพื่อดับกิเลส มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีหนทางอื่นเลย จะให้ทานสักเท่าไร หรือจะรักษาศีลสักเท่าไร แต่ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ก็ยังดับกิเลสไม่ได้
~ จะต้องเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะสมัยหนึ่งเป็นบุคคลที่ดี เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยทำให้เป็นผู้ที่แพ้ต่อลาภสักการะ แต่สมัยต่อมาเมื่อมีลาภ สักการะและสรรเสริญ ซึ่งบุคคลนั้นเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ต่อลาภสักการะและสรรเสริญ จึงมีปัจจัยที่จะให้ทำทุจริต พูดมุสาทั้งๆ ที่รู้ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด) ยังไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล ก็ยังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ล่วงทุจริตกรรมได้
~ จิตเปลี่ยนแปลงได้ เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล บางทีตั้งใจเหลือเกินที่จะเป็นกุศล แต่เมื่อมีอกุศลผ่านมาชักชวน คนนั้นก็ทิ้งกุศลอย่างง่ายๆ และไปตามอกุศล แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นว่ามีมากหรือมีน้อย ในการที่จะเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส หรือไม่คลอนแคลนในกุศลธรรม ซึ่งความตั้งมั่นคงไม่อ่อนไหวไปตาม กิเลส ไม่คลอนแคลนในกุศลธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ทุกท่านที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมต้องเห็นประโยชน์ เพราะถ้าขาดบารมีนี้ กุศลทั้งหลายเจริญไม่ได้
~ ไม่มีอะไรจะอดทนเท่ากับฟังให้เข้าใจความจริง
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๘
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...