พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกขณะ_สนทนาธรรมไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๘

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 95 - 96
คาถาธรรมบท
มรรควรรคที่ ๒๐ (๑)
ว่าด้วยมรรคมีองค์ ๘ ประเสริฐ
[๓๐] ๑. บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ ๘ ประเสริฐ บรรดาสัจจะทั้งหลาย บท ๔ ประเสริฐ บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะประเสริฐ บรรดาสัตว์ ๒ เท้า และ อรูปธรรมทั้งหลาย พระตถาคตผู้มีจักษุประเสริฐทางนี้เท่านั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ ทางอื่นไม่มี เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินตามทางนี้ เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เราทราบทางเป็นที่สลัดลูกศรแล้ว จึงบอกแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงทำความเพียร เครื่องเผากิเลส พระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอกชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจ ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกของมาร.
๒. เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.
เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความ หน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.
เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด.
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มี ธรรม ไหม? เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม?
ปรียา: เห็น ได้ยิน
ท่านอาจารย์: เป็นปรียาเห็น คุณสุคินเห็น หรือใครเห็นหรือเปล่า?
ปรียา: ไม่มีใครเห็น แต่ว่าที่เห็นนั่นคือเห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นธรรมหรือเปล่า?
ปรียา: เป็นธรรม
ท่านอาจารย์: เป็นธรรมประเภทไหน?
ปรียา: เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์: นามธรรมมีกี่ประเภทใหญ่ๆ ?
ปรียา: มี ๒ ประเภท จิต และเจตสิก
ท่านอาจารย์: อยู่ไหน?
ปรียา: จิต กับเจตสิกเกิดพร้อมกัน และอยู่กับทุกคนมีจิต เจตสิก
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คุณปรียาเข้าใจ ต้องให้คนอื่นเข้าใจให้ถูก เริ่มตั้งแต่ต้น เราไม่ได้ศึกษาอะไรจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจาก พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีทุกขณะ และเราก็มีเดี๋ยวนี้ ให้รู้ความจริงว่า เป็นอะไร
ให้เขารู้ว่า ที่ทุกคนไม่รู้ คือไม่รู้ทุกสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดว่าเป็นอะไร มิเช่นนั้น จะลืมเสมอ ลืมทันทีว่า ศึกษาอะไร เพื่อรู้อะไร เข้าใจอะไร
ถ้าศึกษาคำ ศึกษาชื่อ ศึกษาเรื่อง ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้จักธรรม รู้จักรู้จักความหมายของชื่อรู้จักเรื่อง แต่ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสเรื่องอื่น ตรัสสิ่งที่มีทุกวัน กำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วย
ถ้าไม่เริ่มฟัง คำ ของพระองค์ จะไม่รู้ว่า พระองค์ทรงแสดง ความจริง สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่..
ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ขณะนี้
ขอเชิญฟังได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ว่า พระองค์ตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ น่าสนใจไหม? หรือว่า เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องรู้ ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่โรงเรียน รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ดีกว่า คิดอย่างนี้หรือเปล่า?
ปรียา: เรื่องแบบนี้ลึกซึ้งมากค่ะ ที่มหาวิทยาลัยที่ไหนก็ไม่สอนแบบนี้ค่ะเพราะธรรมลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เป็นบุญของคุณปรียาที่มีโอกาสได้รู้ความจริงว่า สิ่งอะไรประเสริฐที่สุดในชีวิตในสังสารวัฏฏ์
คุณปรียารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน?
ปรียา: เวลานี้น้อยมาก น้อยจนสุดชีวิตนี้แล้ว ยังไม่เริ่มรู้จริงๆ
ท่านอาจารย์: นี่เป็นปัญญาที่ที่รู้ความจริง เป็นสัจจธรรม คุณปรียาเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากไหม?
ปรียา: ตามกำลังของความเข้าใจ เวลานี้เข้าใจน้อยมาก นับถือน้อยมากค่ะ
ท่านอาจารย์: นับถือได้แค่ไหน?
ปรียา: เท่าที่ตามกำลังของความเข้าใจของตนเองค่ะ
ท่านอาจารย์: เข้าใจแค่ไหน นับถือแค่นั้นใช่ไหม?
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: คนที่ไม่เข้าใจ คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
ปรียา: ไม่มีความนับถือค่ะ
ท่านอาจารย์: เขาคิดว่า เขานับถือ แต่เขานับถือชื่อเท่านั้น ความจริงลึกซึ้งมาก
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งเราต้องพูดเพื่อรู้ความจริง เพื่อสะสมความเป็นผู้ตรงต่อความจริง จึงสามารถจะรู้ความจริงได้
ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เพื่อรู้ว่า ทุกคำ ของพระองค์ทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตทุกวัน
เดี๋ยวนี้มีเห็นไหม?
ปรียา: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นคืออะไร?
ปรียา: พระพุทธองค์สอน เห็น เป็นสิ่งที่มีจริงค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกคนรู้ว่า เห็น มีจริง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า เห็น ที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นอะไร?
ปายอัล: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า เห็น เป็นนามธรรมที่เกิดแล้วรู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่มีไปอัล ไม่มีปรียาใช่ไหม?
ปายอัล: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มมั่นคง เห็น เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเลย เห็นเป็นเห็นเท่านั้น
ปายอัล: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นเป็นธรรม ใช่ไหม?
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่คุณปรียา ไม่ใช่คุณไปอัล เพราะฉะนั้น เห็นเป็นอนัตตาไหม?
ปรียา: เป็นอนัตตาค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงใน คำว่า ธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริงขณะนั้นอย่างนั้นเท่านั้น
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: กำลังได้ยิน เป็นไปอัลหรือเปล่า?
ปรียา: ไม่ใช่ไปอัล ได้ยินก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์: เห็น เป็นได้ยินได้ไหม?
ปรียา: เห็น เป็นได้ยินไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเห็นไหม?
ปรียา: ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นเกิดแล้ว เวลาได้ยินยังมีเห็นไหม?
ปรียา: ถ้าเห็นเกิด มีได้ยินไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเกิดแล้วดับ สิ่งที่เกิดแล้วดับทุกอย่างใช่ไหม?
ปรียา: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ชีวิต คือธรรมหนึ่งที่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆ ๆ แต่ละหนึ่งธรรมใช่ไหม?
ปรียา: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้จักธรรมแล้วใช่ไหม?
ปรียา: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่พูดตาม อริยสัจจธรรมมีอะไรบ้าง แต่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีธรรม ที่เป็นสัจจะ
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ไม่มีปรียา ไม่มีไปอัล ไม่มีใครเลย นอกจากธรรมเท่านั้น ที่เกิดจริง ดับจริง ไม่เหลือเลย
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ขณะเกิด แล้วดับ เกิดแล้วดับๆ จนถึงตาย เกิดแล้วก็ดับมีประโยชน์ไหม?
ปายอัล: เป็นอย่างนี้ไม่มีประโยชน์เลยค่ะ เป็นไปมาเป็นอยู่ และอนาคตก็เป็นอย่างนี้ไม่มีประโยชน์
ท่านอาจารย์: แล้วก็อาหารอร่อยๆ เสื้อผ้าสวยๆ ดีไหม?
ปรียา: ก็เหมือนกันค่ะ ไม่เป็นประโยชน์
ท่านอาจารย์: ชอบไหม?
ปายอัล: ชอบค่ะ แต่ทั้งวันก็ชอบค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่า ชอบเกิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ก็จะไม่รู้เลยว่า ชอบทุกอย่างไปเรื่อยๆ ห้ามไม่ให้ชอบได้ไหม?
ปรียา: ห้ามไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่รู้ว่า แม้ชอบเกิดสั้นๆ แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ได้ใช่ไหม?
ปรียา: ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า ทุกอย่าง แม้ความชอบ หรือไม่ชอบ เกิดแล้วก็ดับไป
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ชอบเป็นธรรม หรือเป็นคุณปรียา หรือเป็นคุณปายอัล
ปรียา: เป็นธรรมค่ะ
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะมีความเข้าใจเดี๋ยวนี้ แต่ละหนึ่งที่มีเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ทุกอย่างเป็นธรรม ถูกไหม?
ปรียา: ถูกค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 153
บทว่า โพธิ ได้แก่ สัมมาสัมโพธิ คำนี้เป็นชื่อของพระอรหัตตมรรคญาณ และพระสัพพัญญุตญาณ. บทว่า อุตฺตมา ได้แก่ ท่านกล่าวว่าสูงสุด เพราะประเสริฐกว่าสาวกโพธิและปัจเจกโพธิ.
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 588
ทำความตั้งใจแน่วแน่เพื่อสัมโพธิญาณในสำนักของพระพุทธเจ้าในกาลก่อน ด้วยใจและวาจาว่า แม้เราก็จะเป็นเช่นกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงยังประโยชน์สุขให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายโดยชอบนั่นแล. มหาบุรุษมีอุปนิสัยสมบูรณ์อย่างนี้ ความวิเศษใหญ่ การกระทำต่างใหญ่ ด้วยสาวกโพธิสัตว์และปัจเจกโพธิสัตว์ของมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยเพศ ปรากฏด้วยอุปนิสสยสมบัติย่อมปรากฏจากอินทรีย์ การปฏิบัติและความเป็นผู้ฉลาด. คนนอกนี้มิได้ปฏิบัติเหมือนอย่างมหาบุรุษในโลกนี้ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัยมีอินทรีย์
ท่านอาจารย์: ความเข้าใจถูกเป็นคุณปรียา เป็นคุณปายอัลหรือเปล่า?
ปรียา: ความเข้าใจถูกเป็นธรรมหนึ่ง ไม่ใช่ปรียา ไม่ใช่ปายอัลค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับทุกอย่างทุกวัน อะไรประเสริฐที่สุด?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ทั้งปายอัล กับปรียายังคิดในนัยยะที่ก่อนหน้านี้ว่า ธรรมทุกอย่างเกิดแล้วดับ ก็ไม่มีค่า ก็คิดอย่างนั้นอยู่ ก็เลยไม่สามารถตอบได้
ท่านอาจารย์: เพราะเขาไม่ฟังคำถาม เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก ถ้าเขาไม่เข้าใจความละเอียด เขาจะไม่มีวันเข้าใจธรรม ทุกอย่างที่พูด ทุกอย่างที่เรียนเป็นตัวหนังเป็นเรื่องเป็นราว แต่จะไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้น เขาต้องเริ่มมีความเข้าใจที่มั่นคงในความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา ให้เขาคิดของเขาเพราะว่า เราพูดแล้ว คุณต้องคิด พิจารณา และรู้คำตอบด้วยตัวของคุณเอง
เพราะฉะนั้น เราถามเพื่อให้เขาคิด แต่เมื่อกี้ เขาไม่ได้ฟังคำถาม
คำถามว่า ธรรมทุกอย่างที่เกิดดับ เกิดดับๆ ๆ ใบบรรดาธรรมที่เกิดดับทั้งหมด ธรรมอะไรประเสริฐสุด?
โซฮาน: กุศลธรรมครับ
ท่านอาจารย์: กุศลอะไร มีกุศลหลายอย่าง?
โซฮาน: กามาวจรกุศล
ท่านอาจารย์: กามาวจรกุศลคืออะไร?
โซฮาน: จิตครับ
ท่านอาจารย์: จิตประเสริฐสุดหรือ? อกุศลจิตประเสริฐไหม?
โซฮาน: กามาวจรกุศลจิตครับ
ท่านอาจารย์: กุศลจิต คืออะไร?
โซฮาน: ที่บริสุทธฺ์ ที่มีปีติ และมีความเข้าใจ
ท่านอาจารย์: อะไร ๑ อย่าง ประเสริฐสุด?
โซฮาน: ความเข้าใจมีค่าที่สุด
ท่านอาจารย์: ความเข้าใจเป็นธรรมหรือเปล่า?
โซฮาน: เป็นธรรม
ท่านอาจารย์: เป็นธรรมอะไร?
ปายอัล: เจตสิกค่ะ
ท่านอาจารย์: เจตสิกมีเท่าไหร่?
ปายอัล: มี ๕๒ ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับทุกอย่างทั้งหมด อะไรประเสริฐสุด?
ปรียา: ปัญญาเจตสิกค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นเราหรือเปล่า?
ปรียา: ไม่ใช่เป็นเราค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นอะไร?
ปรียา: เป็นเจตสิกค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นเจตสิกอะไร?
ปรียา: อโมหเจตสิก หรือปัญญาเจตสิก
ท่านอาจารย์: ถามอีกๆ ๆ ๆ จะเปลี่ยนไหม?
ปรียา: ไม่เปลี่ยนค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่คือ ปัญญาบารมี เริ่มมีปัญญาบารมี แต่ยังไม่พอ ทำไมว่าปัญญาเจตสิก อโมหเจตสิกประเสริฐที่สุด?
ปายอัล: เพราะปัญญาเข้าใจความจริงค่ะ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง ถ้ามีคนซื้อปัญญาของปายอัลเอาไหม?
ปาลอัล: ไม่เอาค่ะ
ท่านอาจารย์: แน่ใจนะ?
ปาลอัล: แน่ใจค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นอธิษฐานบารมี ให้ชีวิตมีความสะดวกสะบาย มีเงิน มีทรัพย์สิน มีชื่อเสียง แต่ไม่มีปัญญาเอาไหม?
ปรียา: ไม่เอาค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นคนจนที่สุด ไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน แล้วก็มีคนบอกว่า ให้เป็นพระราชา มีทรัพย์สมบัติ มีทุกอย่าง แต่ไม่มีความเข้าใจ เอาไหม?
ปรียา: เป็นคนจน แต่มีความเข้าใจ ดีที่สุดค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าคุณพ่อคุณแม่โกรธมากที่ลูกมีปัญญา จะศึกษาธรรมต่อไปให้เกิดปัญญาไหม?
ปรียา: ไม่เลิกศึกษาค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าเขาบอกว่า ถ้าไม่เลิกฟังธรรม จะฆ่าให้ตายเดี๋ยวนี้ จะฟังธรรมต่อไปไหม?
ปรียา: ไม่ยุติการฟังธรรม และศึกษาธรรมค่ะ
ท่านอาจารย์: แม้ว่าจะฆ่าให้ตายหรือ?
ปรียา: แม้จะฆ่าให้ตาย ก็ไม่เลิกค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็เป็นโพธิสัตว์ที่มีขันติบารมี มีเนกขัมมบารมี มีวิริยบารมี มีอธิษฐานบารมี มีปัญญาบารมี
เพราะฉะนั้น ก็จะมีเวลาที่จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เพราะเห็นประโยชน์ตามกำลังของความเข้าใจ และปัจจัย
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..
พระโพธิสัตว์พิจารณาธรรมอย่างไร
ขอเชิญฟังคลิปวีดิโอ..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้ามีคนบอกว่า ที่ดิฉันพูดทั้งหมดผิด ไม่ต้องเรียน จะเรียนไหม?
ปรียา: ไม่เชื่อค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
ปรียา: เพราะเชื่อว่า ท่านอาจารย์มีปัญญาสูงค่ะ และเพราะคนฟังท่านอาจารย์กันเยอะมากจากประเทศต่างๆ ก็ฟังท่านอาจารย์ ท่านต้องถูกค่ะ
ท่านอาจารย์: ขอโทษนะ ยังไม่พอ ยังไม่ใช่ เพราะคนที่เชื่อผิด เห็นผิด ฟังผิด มีมากใช่ไหม ทั้งโลกอะไรมากกว่ากัน?
ปรียา: ทั้งโลกเข้าใจผิดมากกว่าค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ฟังดิฉัน ไม่ใช่เชื่อดิฉัน เป็นธรรม
คำใดเป็นคำจริง คำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ คนอาศัย คำ ของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วไตร่ตรอง ศึกษาจนกระทั่งรู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด
ทำไมคนที่ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีการสนทนาธรรมกัน สนทนาธรรมทุกคนที่ได้ฟังธรรมแล้วสามารถที่จะพูดถึงธรรมที่ได้ฟังด้วยความเข้าใจต่างๆ
ขณะใดที่ฟังความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สนทนาธรรมแล้วมีความเข้าใจ ขณะนั้นคบบัณฑิต ไม่ใช่คบคนพาล
เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะไม่ใช่พาล และจะเป็นบัณฑิตเมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจถูกต้อง
แต่ละคนมีความคิดความเห็นหลากหลายต่างๆ กัน ทั้งคุณปาลอัล คุณโซฮาน คุณปรียา ทุกคนฟังธรรมสนทนาธรรม เคารพธรรม เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยฟังคำของพระองค์ แล้วสนทนาเพื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ธรรม ละเอียด และลึกซึ้งไหม?
ปรียา: ละเอียดและลึกซึ้งค่ะ
ท่านอาจารย์: และสามารถจะรู้ได้ไหม?
ปรียา: ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เมื่อได้ฟัง และเริ่มรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมทุกอย่างทุกขณะ ต้องเข้าใจทุกคำ และความลึกซึ้งของทุกคำ
ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ไหม?
ปรียา: ถ้าไม่พิจารณาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าธรรมลึกซึ้งและละเอียดขนาดไหนค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อดทนที่จะฟังซ้ำบ่อยๆ หรือเปล่า?
ปรียา: ไม่มีทางอื่น นอกจากอดทน และฟังค่ะ
ท่านอาจารย์: เบื่อไหม ที่จะฟังซ้ำ ฟังซ้ำอีก?
ปรียา: ไม่เบื่อค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
ปรียา: เพราะว่ามีความเข้าใจ และมีความสนใจที่เกิดจากความเข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะ จะเข้าใจเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ฟังแล้วฟังอีกทีละเล็กทีละน้อย
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่พูดถึง เห็น บ่อยๆ ทุกวัน ก็ลืมว่า เห็น เป็นธรรมใช่ไหม?
ปรียา: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เห็น ว่าเป็นธรรมที่เกิดดับ เข้าใจใช่ไหม?
ปรียา: เข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์: พอไหม?
ปรียา: ไม่พอค่ะ ฟังแค่นี้ไม่พอ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
ปรียา: เพราะเข้าใจว่า ความเข้าใจยังน้อยมากค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฟังแล้วก็ลืม ไม่คิดถึงเลยว่า เห็นขณะนี้เป็นธรรม
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะไม่ลืมว่า ขณะนี้มีจริง เป็นธรรมใช่ไหม?
ปรียา: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: ขณะที่ไม่ลืมที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ เห็น เป็นธรรม ขณะที่ไม่ลืม อะไรเป็นขณะที่ไม่ลืม?
คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ ก็คือคุณปรียายังไม่เข้าใจว่า อะไรทำให้ระลึกถึง หรือทำกิจนั้นครับ ทำให้ไม่ลืมว่า เป็นธรรมครับ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพราะเหตุว่า เขาจำแต่ชื่อของเจตสิก
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ลืม ระลึกได้ว่า เห็น มีที่กำลังเห็น จะรู้ได้ ขณะนั้นเป็นสติ
ปรียา: ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่ระลึกได้ที่เป็นกุศลเป็นสติ ต้องไม่ลืมว่า ทุกอย่างมีจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
ส่วนใหญ่ทั้งวันเป็นอะไร เป็นธรรมแน่นอน แต่ต้องละเอียดว่า เป็นธรรมอะไร? และต้องไม่ลืมว่า คำถามว่า ส่วนใหญ่ทุกวันเป็นธรรมอะไร?
ปรียา: เป็นอกุศลค่ะ
ท่านอาจารย์: ขณะนั้น มีสติไหม?
ปรียา: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่สติระลึกได้ในสิ่งที่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นกุศลจิต เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ทำสิ่งที่ดี เช่น การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น เพราะสติไม่ลืม ระลึกถึงสิ่งที่ควรให้
ขณะที่รู้ว่า ควรเข้าใจสิ่งที่กำลังมีว่า เป็นธรรม ขณะนั้น เป็นกุศล หรืออกุศล?
ปรียา: จิตเป็นกุศลค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่ดี เพราะสติเกิดเป็นไปในกุศลนั้นๆ เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวัน ขณะใดที่ช่วยคนอื่นไม่ว่าใคร ขณะนั้นเพราะสติเกิดเป็นกุศลประเภทนั้นสติ
สติเป็นคุณปายอัล หรือคุณปรียา หรือเปล่า?
ปรียา: ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เป็นธรรมทั้งหมด และเป็นธรรมที่เป็นสติ เมื่อขณะใดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
เพราะฉะนั้น เวลาที่เราได้ยินคำว่า สติ เป็นโสภณเจตสิก ก็รู้ได้ขณะใดที่เป็นสิ่งดี ขณะนั้นมีสติเกิดร่วมด้วย
ขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ มีสติไหม?
ปรียา: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: มีปัญญาไหม?
ปรียา: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เกิดพร้อมกันหรือเปล่า?
โซฮาน: เกิดพร้อมกันครับ
ท่านอาจารย์: แล้วสติเป็นปัญญาหรือเปล่า?
โซฮาน: สติไม่ได้เป็นปัญญาครับ
ท่านอาจารย์: สติเกิดโดยไม่มีปัญญาเกิดด้วยได้ไหม?
ปรียา โซฮาน: ได้
ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?
ปรียา: เวลาทำทานตอนนั้นมีสติ แต่ไม่มีปัญญาค่ะ
ท่านอาจารย์: แล้วเมื่อไหร่มีปัญญา?
โซฮาน: เวลาให้ทาน เข้าใจทานครับ
ท่านอาจารย์: เข้าใจอย่างไร?
โซฮาน: ยังไม่เข้าใจว่าตอนที่ให้ทาน ปัญญารู้อะไรครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าปัญญาไม่เกิด จะรู้ไหม?
โซฮาน: ถ้าไม่เกิด ก็ไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญาเกิดจึงรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา และจะรู้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นว่า ไม่ใช่เรา แล้วขณะนั้นเป็นอะไรทีละหนึ่ง
โซฮาน: ครับ
ท่านอาจารย์: ตอนเป็นเด็ก คุณโซฮานเคยให้อะไรใครไหม?
โซฮาน: ให้ครับ
ท่านอาจารย์: รู้ไหมว่า ขณะนั้น ให้ทานเป็นสติหรือไม่ใช่สติ?
โซฮาน: ไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าพ่อแม่ให้อะไรลูก พี่ให้น้อง น้องให้พี่ เป็นทานหรือเปล่า?
โซฮาน: ถ้าเป็นพ่อแม่ให้ พี่ให้น้อง นั่นไม่ได้เป็นทานครับ
ท่านอาจารย์: ทำไมล่ะ ปกติไม่ได้ให้ แล้วเวลาให้ต่างกับที่ไม่ได้ให้ใช่ไหม? ถามว่า พี่ให้น้อง น้องให้พี่ ขณะที่ให้เป็นทานหรือเปล่า?
โซฮาน: เพราะว่า นั่นเป็นปกติของการที่อยู่ในครอบครัว เราให้เพราะมีความผูกพันกัน
ท่านอาจารย์: แต่เราไม่รู้ธรรม ใช่ไหม?
โซฮาน: ครับ เพราะไม่เข้าใจธรรมครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรู้ว่า ขณะนั้นมีธรรมที่เป็นกุศล และอกุศลต้องรู้จักธรรมก่อนใช่ไหม?
โซฮาน: ต้องฟังธรรมก่อนถึงจะเข้าใจธรรมครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ธรรมละเอียดมากควรที่จะรู้ว่า เห็นเป็นธรรม ให้ เป็นธรรมที่ดี เพราะเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น
เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า ขณะที่เป็นธรรมที่ดี ขณะนั้นมีสติทุกครั้ง
ขณะใดที่ไม่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรม ขณะนั้นสติเกิดหรือเปล่า?
ปรียา: ขณะนั้น ไม่มีสติค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น สติเป็นสติ ไม่ใช่ปัญญา
ปรียา: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นความจริงทุกขณะในชีวิตประจำวันที่ละเอียดมาก ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมที่ดี จะเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนหนึ่งคนใดเสมอ
คุณโซฮาน คุณปายอัล คุณปรียา รู้จักคนดีหลายคนใช่ไหม?
โซฮาน: รู้จักหลายคนครับ
ท่านอาจารย์: เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมก็มีใช่ไหม?
โซฮาน: มีเยอะครับ
ท่านอาจารย์: และ คนที่เข้าใจธรรมก็ยังเป็นคนไม่ดีใช่ไหม?
โซฮาน: เป็นอย่างนั้นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องตรงต่อธรรม เพราะฉะนั้น จึงต้องตรงต่อความจริงว่า ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับทั้งปวง ปัญญาประเสริฐสุด
ถ้ารู้แต่ชื่อธรรม มีประโยชน์ไหม?
ปรียา: ไม่มีประโยชน์ค่ะ
ท่านอาจารย์: แต่เริ่มเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ที่มีจริง มีประโยชน์มากกว่า เพราะธรรมทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่เราได้ฟัง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ