ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๐

 
khampan.a
วันที่  30 มี.ค. 2568
หมายเลข  49653
อ่าน  1,415

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๐





~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยประการทั้งปวง ๔๕ พรรษา สามารถเข้าใจได้ แต่ต้องไตร่ตรองด้วยความเคารพสูงสุด เห็นประโยชน์สูงสุด จึงรู้ว่าคนที่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมและเข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียวแต่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป

~
เกิดมาแล้วควรรู้ความจริงก่อนที่จะจากโลกนี้ไป สามารถที่จะฟัง ไตร่ตรองและเริ่มเข้าใจว่าความจริงเป็นสิ่งที่มีทุกวัน แต่ไม่รู้ทุกวัน จนกว่าจะฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ประโยชน์อยู่ที่ฟังแล้วเข้าใจไม่ว่าจะพูดถึงอะไรก็ตาม

~ ฟังพระธรรม เพราะว่าชีวิตไม่มีใครรู้ว่าเหลืออีกกี่วันกี่เดือนกี่ปี แต่ระหว่างที่ยังมีโอกาสที่จะได้ฟัง ก็ฟังไปกี่วันกี่เดือนกี่ปี นั่นคือการระลึกถึงความตายที่เป็นประโยชน์

~ ขณะใดที่ฟังความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สนทนาแล้วมีความเข้าใจ ขณะนั้นคบบัณฑิตไม่ใช่คบคนพาล เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะไม่ใช่พาลและจะเป็นบัณฑิตเมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจถูกต้อง

~ คำใดเป็นคำจริงทุกคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนอาศัยคำของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วไตร่ตรองศึกษาจนกระทั่งรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

~ หิริโอตตัปปะ เป็นธรรมเครื่องคุ้มครองโลกที่จะทำให้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ เพราะว่าหิริเป็นสภาพที่ละอายรังเกียจอกุศลธรรม และโอตตัปปะก็เป็นสภาพธรรมที่กลัวบาป กลัวอกุศลธรรม

~ น่าพิจารณาจริงๆ ว่า ในวันหนึ่งๆ ถ้าตัดสิ่งที่กระทำด้วยโลภะ ไม่ให้ลำบากจนเกินไป ชีวิตก็ย่อมสะดวกสบายมากขึ้น

~ เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีเรื่องร้ายจะบาดเจ็บ จะมีสุข มีทุกข์ ใครทำ ก็คิดว่าคนโน้นทำ คนนี้ทำ เราทำ แต่ทำเห็นให้ดูหน่อย ใครทำเห็นได้ เห็นเกิดแล้วมิใช่หรือ ใครทำ?

~ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า "จักตาย" จะทำอกุศลกรรมไหม ผลไม่ได้เกิดกับคนอื่น แต่เกิดกับตนเองที่ได้ทำอกุศลกรรมนั้น เพราะฉะนั้น ปัญญาก็เป็นที่พึ่ง ที่จะทำให้รู้ความจริงว่า ยังไม่ตาย ก็ไม่ควรที่จะทำอกุศลกรรม

~ ผู้ที่รู้ว่าต้องตายและรู้ว่าอกุศลมีโทษมาก และได้ทำอกุศลกรรมมาแล้วมาก ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เวลาที่ยังเหลืออยู่กี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่นาที ไม่ทราบ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีเวลาอยู่ ควรทำกรรมอะไร? ไม่ได้บังคับ แต่แสดงความจริงให้รู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ จะไปทำอกุศลกรรมทำไม นี่เป็นเหตุที่จะทำให้ผู้นั้นเริ่มเห็นคุณของการทำกุศลกรรม

~ ถ้าอ่านพระไตรปิฎก ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่ไหน พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดเป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือเปล่า? แล้วใครตรัสซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่ออะไร เพราะรู้ว่าถึงจะพูดบ่อยๆ ก็ยังไม่รู้จนกว่าจะไม่ลืมแล้วก็ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ พิจารณาในชีวิตประจำวัน ไม่ช่วยแม้แต่จะยกอาหารที่อยู่ไกลมือของผู้อื่นให้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร ขณะที่รับประทานอาหารร่วมกัน และไม่ได้สนใจในบุคคลอื่นเลย ขณะนั้นย่อมมีความเพลิดเพลินในรสอาหารบ้าง ในเรื่องอื่นๆ บ้าง ต่อเมื่อหิริโอตตัปปะเกิด สังเกตพิจารณาเอื้อเฟื้อสงเคราะห์ช่วยเหลือ แม้แต่ในการหยิบยกอาหารที่อยู่ไกลมือให้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต

~ ใครก็ตามที่อาจจะมีความกังวลใจในขณะนี้ ขอให้ทราบว่าเคยเป็นมาแล้ว เคยกังวลใจอย่างนี้ในชาติก่อนๆ ในสังสารวัฏฏ์มาแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยเป็นอย่างนี้ แต่ความกลุ้มใจหรือความกังวลใจในชาติก่อนๆ ก็ผ่านไปๆ เหมือนกับชาตินี้ ซึ่งความกังวลใจความกลุ้มใจนั้นต้องเปลี่ยนไป จะคงอยู่ต่อไปไม่ได้ และแม้ชาติหน้าก็ต้องเกิดความกังวลใจหรือว่าความกลุ้มใจอีก

~
โลภะเป็นเหตุของทุกข์ฉันใด อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) ก็เป็นเหตุของสุข ฉันนั้น คิดดู เพียงไม่ติดหรือติดน้อยลงจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ การขวนขวาย การแสวงหาทุกข์จะน้อยลงไหมในสังสารวัฏฏ์ ถ้าชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าต่อไปก็เหมือนๆ อย่างนี้อีก เพราะฉะนั้น สังสารวัฏฏ์จะต้องยืดยาวต่อไปอีกนานเพียงใด ถ้าปัญญายังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

~
ไม่ค่อยมีใครพิจารณาว่าความทุกข์ของท่านเกิดจากทรัพย์ แต่อยากได้ทรัพย์ เพราะเห็นว่าถ้าได้ทรัพย์แล้วจะไม่มีความทุกข์ แต่ขอให้คิดจริงๆ ว่า ความทุกข์ของท่านทั้งหมดมาจากทรัพย์ จริงไหม มาจากเยื่อใย ความติดข้อง ความต้องการ ความปรารถนาทรัพย์ ขณะที่กำลังติดข้องต้องการ ปรารถนา แต่ไม่ได้ เป็นทุกข์ไหม หรือที่จะต้องหมดสิ้นไปก็เป็นทุกข์ ใช่ไหม ขอให้ดูชีวิตของบางคนที่อาจจะไร้ทรัพย์ แต่ยังสามารถที่จะเป็นสุข มีหน้าตาเบิกบาน ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้ ในขณะที่คนมีทรัพย์มากๆ บางทีหน้าตาก็ไม่เป็นสุขเลย นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้

~
ทางวาจาก็มีเรื่องลำบากหลายเรื่องเหมือนกันสำหรับบางท่าน เช่น พูดคำหลอกลวงคนอื่น ในขณะนั้นก็ลำบากแล้ว ใช่ไหม เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ก็ย่อมไม่ลำบาก หรือบางท่านก็ถึงกับใช้คนอื่นให้ไปว่าคนที่ตนไม่พอใจ

~ การที่อกุศลจะค่อยๆ ละคลายไปได้ ก็เป็นไปได้ด้วยปัญญาเท่านั้น ถ้าไม่มีปัญญาที่เข้าใจจริงๆ ไม่มีอะไรที่จะไปละอกุศลเลย เพราะฉะนั้น ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ จะเบียดเบียนคนอื่นไหม จะทำอกุศลไหม และกรรมดีที่ประเสริฐสุด คือ ได้เข้าใจความจริง ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

~ บางคนเห็นอกุศลของคนอื่น รู้สึกว่าเป็นผู้ที่ฉลาดในอกุศลของคนอื่น แต่ไม่ฉลาดที่จะเห็นจิตของตนเองในขณะนั้นว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ทั้งหมดก็เพื่อเกื้อกูลให้เกิดสติ มีศรัทธา มีหิริและโอตตัปปะ ในชีวิตประจำวัน

~ เราอาจจะมองเห็นความไม่ดีของคนอื่น ไม่ยากเลย แค่หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ดูโทรทัศน์ มาแล้วความไม่ดีของคนอื่น ใช่ไหม? แล้วเราล่ะ ลืมสนิท ที่กำลังพูดดีหรือเปล่า?

~ กิเลสใหญ่ๆ มาจากไหน ก็ต้องมาจากเล็กๆ ถ้าไม่มีเล็กๆ จะมีใหญ่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ขณะที่เราหวังดีต่อคนอื่น ขณะนั้นเราดี เป็นการละกิเลสของเรา เราจะไม่เห็นแก่ตัว เหนื่อยหรือ? ลำบากหรือ? แต่เขาได้ประโยชน์ เขาได้เข้าใจพระธรรม ดีไหม? ทำได้ไหม? เห็นไหม? ไม่ใช่ใครเลย ใครจะไปชวนใครจะไปบังคับใคร ใครจะไปบอกใคร ถ้าเขาไม่ได้มีการไตร่ตรองของเขาเองก็ไร้ประโยชน์ เขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจแล้วจะทำ ใครก็ห้ามไม่ได้

~ คนดีก็ต้องสะสมความดีมามาก คนไม่ดีก็สะสมความไม่ดีมามาก เพราะฉะนั้น การได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นผู้ตรง ไตร่ตรอง เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและคนอื่น

~ มีทุจริตทุกวงการเพราะไม่เข้าใจธรรม ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้วจะไม่เป็นอย่างนั้นเลย ด้วยเหตุนี้ ความหวังใดๆ ไม่ว่าสำหรับเยาวชนหรือใครทั้งสิ้น ก็คือให้เขาได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และพระธรรมนั่นแหละจะนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้อง ทำให้ประเทศชาติและผู้คนทั้งหลายได้ประโยชน์อย่างยิ่ง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๙



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 30 มี.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 30 มี.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 30 มี.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 31 มี.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 1 เม.ย. 2568

~ เกิดมาแล้วควรรู้ความจริงก่อนที่จะจากโลกนี้ไป สามารถที่จะฟัง ไตร่ตรองและเริ่มเข้าใจว่าความจริงเป็นสิ่งที่มีทุกวัน แต่ไม่รู้ทุกวัน จนกว่าจะฟังพระธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ประโยชน์อยู่ที่ฟังแล้วเข้าใจไม่ว่าจะพูดถึงอะไรก็ตาม

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบยินดีในความดี อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 1 เม.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบยินดีในความดีทุกประการของ อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 1 เม.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบยินดีในความดีทุกประการของ อ.คำปั่นค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ