การพานักเรียนไปนั่งสมาธิ
ทราบว่าในโรงเรียนมีการพานักเรียนไปนั่งสมาธิ โดยใช้คำภาวนาว่า " พุท - โธ " จุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีสมาธิ นำไปใช้ให้เกิดสมาธิในขณะเรียน ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีมิจฉาสมาธิอย่างทั่วไปในผู้นับถือศาสนาพุทธในปัจจุบัน และควรแนะนำอย่างไรให้กระทรวงศึกษาฯ ทราบและนำไปสู่โรงเรียน
ควรแนะนำให้ทุกคนได้ศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจอย่างถูกต้องก่อนที่จะไปสอน ไปทำหรือไปแนะนำให้ทำ เพราะถ้าขาดความรู้ความเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้องแล้ว เมื่อทำก็ทำผิด เมื่อสอนก็สอนผิด ดังนั้นถ้าฝ่ายผู้ใหญ่ ผู้บริหาร ผู้สอนไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมไม่สามารถสอนให้เด็กๆ เข้าใจถูกต้องได้
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องศึกษาไปตามลำดับขั้นค่ะ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาปริยัติ แล้วไปปฏิบัติ ก็ผิดค่ะ ถ้าเราศึกษาพระธรรมและมี ความเข้าใจ ก็จะซาบซึ้งในพระธรรม เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านได้ยินคำว่า พุทโธ ท่านเกิดปิติซาบซึ้งในพระคุณ แต่ไม่ใช่ไปปฏิบัติค่ะ
คงยากจะแนะนำ ยุคเสื่อม อย่างไรก็ตามอธิบายเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายก็กลับมาที่ตัวเอง
แนะนำตามความเป็นจริงครับ แต่ความจริงนี้ก็อย่างว่าครับ สวนกระแสความคิดของชาวโลกโดยสิ้นเชิง ใครก็ไม่อยากจะละโลภะ ถ้ายังไม่รู้ (รู้เพียงขั้นฟัง ก็ยังไม่เกิดปัญญาที่จะหน่าย) เพราะสุดท้าย จะปฏิวัติยังไง ปฏิรูปยังไง ในชาตินี้ทุกคนก็หนีไม่พ้นที่จะไปตามกรรมของตน แล้วศาสนาก็จะต้องเสื่อมและหมดไปเมื่อพระโสดาบันองค์สุดท้ายสิ้นชีวิตในอนาคต ถ้ามีโอกาสคุยกับผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ทางราชการสูงๆ ได้ ก็ขออนุโมทนาครับ แต่เขาจะเข้าใจ หรือไม่ ก็คงเป็นเป็นเรื่องของการสะสมมาอีกที แล้วถ้าเปลี่ยนได้แล้ว ครูผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนาเอง จะเข้าใจอย่างที่ท่านรัฐมนตรี เข้าใจอีกหรือไม่ ก็เกินที่เราจะคาดคิดอีกครับ และก็จะวกเข้ามาหาตัวเราเองในที่สุด ที่จะต้องศึกษาพระธรรมเพื่อช่วยเหลือตนเองก่อน ก่อนที่จะไปเกื้อกูลคนใกล้ชิด ซึ่งเขาจะสะสมมาที่จะเข้าใจหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอีก
พยายามทำอยู่ค่ะ โดยการอธิบายหรือบอกแล้วให้สังเกตธรรมะที่มีในตน ด้วยคำธรรมดา เช่น ขณะที่หลับตาเห็นอะไรไหม แตกต่างกับลืมตาไหม ค่อยๆ บอกรายละเอียดไปเรื่อยๆ แต่ละทวาร วันละนิดวันละหน่อย สังเกตความรู้สึกบ้าง การกระทบ สัมผัสบ้างในขณะนั่งสมาธิ ถามต่อว่า ถ้าไม่นั่งหลับตาความรู้สึกอย่างนี้มีไหม ส่วนมากจะสอดแทรกเรื่องของกรรมและผลของกรรม เรื่องของศีล ที่เป็นกุศลศีลและอกุศลศีล ดิฉันไม่ได้ให้นั่งนานหรือบ่อยอย่าง มากไม่เกิน ๕ นาที บวกคำอธิบายไม่เกิน ๑๐ นาที และจะบอกนักเรียนทั้งหลายว่าการนั่งสมาธิ ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ สมาธิที่ไม่ได้ศึกษาสภาพธรรมะที่กำลังปรากฎเฉพาะหน้าคือทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ไม่ใช่สัมมาสมาธิแต่เป็นมิจฉาสมาธิ นักเรียนต้องมีสมาธิทางโลก (มิจฉาสมาธิ) เพื่อให้กิจการที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วง หากไม่มีสมาธิ (มิจฉาสมาธิ) ทำงานจะผิดพลาดไม่เรียบร้อย เด็กๆ ของดิฉันเป็นเด็กประถมค่ะ เลยไม่ค่อยดื้อไม่ค่อยรั้นและกลัวบาปกรรมตามที่ดิฉันเล่าให้ฟังเมื่อมีโอกาสและมีตัวอย่างตามข่าวในชีวิตประจำวันค่ะ ดิฉันบอกเด็กๆ ว่าอาชีพทุกอาชีพเจริญกุศลได้ทั้งนั้นถ้ามีเมตตาต่อกัน ช่วยเหลือกัน แม้แต่ภายในโรงเรียนเดียวกันก็อยู่กันฉันมิตรแล้วให้นั่งสมาธิทำไม
เมื่อไม่ใช่หนทางเจริญ ปัญญา ต้องถามผู้คิดเกณฑ์ประเมินคุณภาพการสอนของครู ถ้าไม่มีถูกตัดคะแนน ดิฉันไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ สงสารน้องๆ เลยต้องทำหน้าที่สอนสอดแทรกธรรมะในการเจริญสติเจริญปัญญา ขณะนั่งสมาธิพอเป็นเหตุปัจจัยในอนาคตของเขา (นักเรียน) และตามกำลังปัญญาอันน้อยนิดของดิฉันเอง ตามบุญตามกรรมในยุคเสื่อมอย่างว่า ลืมบอกไป ว่าดิฉัน ไม่เคยบอกให้เด็กภาวนาว่า พุท - โธ แต่ดิฉันให้เขาพิจารณาสังเกตสภาพธรรมะที่กำลังปรากฎซึ่งของใครของมันรู้จักแล้วศึกษาถึงความแตกต่างของรูปของนาม เขาก็ตอบตามที่เขาสังเกตได้ บอกเหตุบอกผลตามที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่รู้จักรู้แจ้งเฉพาะตน ไม่หลอกไม่ลวงตนเองก็จะรู้ว่ามีกิเลสหนาแน่นหรือเบาบาง ความสามารถในการธำรงไว้ซึ่งสัมมาทิฏฐิทางพระพุทธศาสนาโดยหน้าที่ของดิฉันคงทำได้ เท่านี้แหละค่ะ
ขออนุโมทนา คุณ jurairat ในกุศลกรรมที่ได้กระทำเป็นอย่างยิ่งครับ ผมก็เคยเป็นครูสอนเด็กประถมครับ แต่ตอนนี้ลาออกจากงานเดิมแล้วมาทำงานที่บ้านธัมมะ แต่ก็กลับไปแจกแผ่นพับนิทานชาดกสอนใจให้พวกเขาได้อ่านอยู่บ้างในบางโอกาสครับ ที่จริงอนาคตของชาติไม่ได้อยู่ที่เราเลย อยู่ที่กรรมของเขาเองทั้งนั้นครับ แต่เราก็เกื้อกูลได้เมื่อเกิดเมตตาจิตต่อกันด้วยความเป็นมิตร และหวังดีจริงๆ เพราะเมื่อศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดปีติ ซาบซึ้ง เกิดปัญญา เห็นถูกว่า เป็นคำสอนจากผู้ที่เป็นมหาบุรุษยิ่งกว่ามหาบุรุษที่สูงสุดจริงๆ จึงไม่เล็งเห็นการเกื้อกูลใดจะเทียบเท่ากับ ธรรมทานที่ตั้งอยู่บนความเห็นถูก...ซึ่งอามิสทานใดในโลกนี้ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับธรรมทานได้เลยครับ
ขออนุโมทนากับครูโอค่ะที่ยังไม่ลืมเด็กๆ เมื่อก่อนไม่รู้จักบ้านธัมมะทางเวปไซด์ เหมือนคนไม่มีเพื่อนสนิทที่สนทนากันและตักเตือนกันทางธรรมะ ได้แต่ฟังเสียงของท่าน อ.สุจินต์ทางเดียว มีความมั่นคงในพระธรรมเป็นอย่างยิ่ง (ถ้าสติเกิด) เพราะเปิดฟังทั้งวันเมื่ออยู่บ้าน แทนการเปิดเพลงหรือดูโทรทัศน์ เคยอยากรู้อยากถามความแตกต่างของรูปของนามแต่ละทวาร ไม่รู้จะไปถามใครดี ในคำบรรยายของท่านอ.สุจินต์บอกว่า"ถ้าเข้าใจสภาพธรรมทางทวารใดทวารหนึ่งแล้ว ก็จะเข้าใจทางทวาร อื่นๆ ได้เหมือนกัน " เพราะเหตุ ปัจจัยยังไม่พอ สติยังระลึกรู้ไม่ทั่ว ความต้องการรู้ปิดกั้น หนทางเดียวก็คือสติเกิดระลึกต่อไปจนกว่าจะเข้าใจทั่วทุกทวาร แม้ขณะเขียนข้อความสติก็เกิดระลึกศึกษาได้กุศลหรืออกุศลเกิดดับสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอด แต่มีสติน้อยกว่าหลงลืมสติ เล่าให้ฟังเป็นกำลังใจกับสหายธรรมที่กำลังเจริญสติ เจริญปัญญาอยู่ สภาพธรรมะมีปรากฎให้รู้เหมือนกับที่ได้ยินได้ฟังแล้วจริงๆ ขอให้ฟังต่อไป ตั้งแต่เข้ามาที่นี่เหมือนได้พบเพื่อนสนิท เป็นกัลยาณมิตรคอยให้กำลังใจหรือคอยตัก เตือนไม่ให้ไขว้เขวไปทางอื่น
ขออนุโมทนากับกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
อะไรจะสำคัญกว่ากันระหว่าง สมาธิกับปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้วสัมมาสมาธิย่อมเกิดแน่นอน แต่สัมมาสมาธิไม่จำเป็นต้องเกิดร่วมกับปัญญาเสมอไป แม้แต่บารมีทั้งสิบ ถ้าขาดปัญญาก็หาเป็นบารมีไม่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เพราะ "พุทธ" แปลว่า "ผู้รู้" ศึกษาให้รู้นะคะ ไม่ใช่ให้เพ่งความสงบแล้วไม่รู้อะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)