การทำสมาธิเมื่อไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นมิจฉาสมาธิ
การทำสมาธิให้จิตจดจ่อที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆ นั้น เมื่อไม่ประกอบด้วยปัญญาก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะขณะนั้นเป็นความพอใจที่จะให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ที่อารมณ์เดียว เมื่อปราศจากปัญญาก็ไม่สามารถรู้ความต่างกันของโลภมูลจิตและกุศลจิต เพราะโลภมูลจิตและกามาวจรกุศลจิตมีเวทนาประเภทเดียวกันเกิดร่วมกันด้วย คือ
โลภมูลจิต ๘ ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง
กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง
ฉะนั้น ขณะใดที่อุเบกขาเวทนาเกิดขึ้นหรือโสมนัสเวทนาเกิดขึ้น จึงยากที่จะรู้ว่าจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนหรือขณะที่โสมนัสยินดีเป็นสุขนั้น เป็นโลภมูลจิตหรือเป็นมหากุศลจิต
ดิฉันก็ยังสับสนอยู่กับชื่อ โลภมูลจิต ๘ ดวง มีอุเบกขาเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง แต่เมื่อสติเกิดขณะอ่านธรรมมะในเวปไซด์นั้น มีความลำพองใจเกิดขึ้น "ว่าเรานี้หนอโชคดีได้มีโอกาสศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม" ก็รู้ว่าเป็นอกุศล เป็นตัวตนที่คิดผิดสำคัญผิดมีเรามีเขา เนื่องจากการเกิดดับของจิตเร็วมากแต่ก็รู้ว่าเป็นมานเจตสิกเกิดดับสลับอีก เพราะมีความสำคัญตนว่า "ดีนะที่เจริญสติปัฏฐานได้" แต่ความจริงเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดดับตามเหตุปัจจัยเท่านั้นทำไมต้องคิดว่ามีดีหรือไม่ดีด้วย
เพราะเจริญสติเป็นปกติอยู่จึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อสภาพที่เกิดขึ้น คอยระลึกศึกษาต่อไปเมื่อสติเกิด ดิฉันเข้าใจสภาพธรรมถูกไหมคะ กรุณาตอบให้ทราบด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ สภาพของจิตเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็วมาก หลังจากกุศลจิตดับไปแล้ว โลภะก็เกิดติดข้องในกุศลนั้นว่า เป็นเรา เรามีกุศล เป็นต้น ควรเป็นผู้ที่ละเอียดศึกษาสภาพธรรมต่อไป
กิเลสนี้เหนียวแน่น โลภะติดทุกอย่าง แต่แม้กุศลก็ยังเป็นเรา แต่ก็ให้รู้ว่า กุศลก็เป็นธรรมะที่มีจริง อกุศลก็เป็นธรรมะมีจริง ค่อยๆ อบรมปัญญาต่อไปค่ะ
คำว่า "สมาธิ" ดิฉันเกิดความรู้สึกถึงความหมายที่แปลกไปกว่าที่เคยรู้ความหมายตามแบบที่คุ้นชินมา แบบที่คนอื่นทั่วไปตีความหมายกัน ในขณะที่กำลังดูการ์ตูน "พระพุทธเจ้า" เมื่อคืนนี้ แล้วมีตอนหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ศีล สมาธิ ปัญญา" ดิฉันเกิดคิดพิจารณาตามหลังพระดำรัสนั้น อันว่าความตั้งมั่นแห่งจิตในที่นี้ต้องไม่ใช่การนั่งหลับตาจดจ่อกับบัญญัติและความคิดนึกไปในรูปร่างกายในจุดใดจุดหนึ่งแน่นอน ดิฉันกลับเข้าใจความหมายไปว่า ศีลคือ ปกติ (ปกติมีความเห็นชอบ ประพฤติชอบตามทำนองคลองธรรมคือ ศีลห้าหรือศีลที่ยิ่งกว่านั้นอันเป็นปกติวิสัยของบุคคลนั้น)
สมาธิ คือความตั้งมั่นแห่งจิต (โยนิโสมนสิการ ตั้งจิตไว้ชอบ ไม่หวั่นไหวโอนเอนไปในอกุศล ไม่เข้าใจผิดในกุศล) ส่วนปัญญานั้นเกินความสามารถของดิฉันที่จะอธิบายตามความคิดเข้าใจของตนเองได้ถูกคือ ดิฉันเข้าใจว่า เป็นความรู้ชัดในสภาพธรรม เห็นสภาพธรรมมีการเกิดดับตามความเป็นจริง ทั้งหมดนั้นเป็นความคิดตามในเวลานั้น ถูกผิดประการใดคงต้องขอความกรุณาให้อธิบายขยายความเพิ่มเติม
แต่ดิฉันเพิ่งแน่ชัดในใจตนเองว่าที่เรียกกันว่านั่งสมาธิ (คือนั่งหลับตา จดจ้อง) นั้นไม่ใช่สมาธิ แต่เป็นการเพ่งเพื่อความเป็นไปในฌานแบบโลกียฌาน แต่ก็ดิฉันอาจพูดผิด อธิบายผิดก็ได้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
[เล่มที่ ๗๖] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๑๓
ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์ลงในศีลขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า ชาติสงเคราะห์
ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์ลงในสมาธิขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า สัญชาติสงเคราะห์
ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะสงเคราะห์ลงในปัญญาขันธ์ดังนี้ ชื่อว่า กิริยาสงเคราะห์
เชิญคลิกอ่านที่นี่เพิ่มเติมครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์