ผลแห่งกรรมเป็นเช่นนั้น หรือ จากการกระทำในอดีต
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
เรียนถามท่านสหายธรรมและท่านผู้รู้ธรรมทุกท่านช่วยแสดงความคิดเห็นนะครับ รู้ว่ากุศลจิตและอกุศลจิตเกิดดับตลอดเวลา
๑. ผมได้สังเกตบางคน เช่น คนบางคนมีเวลาทำบุญทำทาน รักษาศีล ภาวนา ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดี พ่อ แม่และในสังคมมีฐานะ ไม่ขัดสน แต่สุดท้ายก็ตายโหงขับรถประสานงากับรถพ่วงในวัยที่ยังหนุ่มประมาณอายุ ๓๐ ปี และก็มีพระบางองค์มีญานหยั่ง รู้ ให้ธรรมแก่สาธุชนเป็นจำนวนมาก ตามคำบอกของแม่ผม แต่สุดท้ายก็ตายอุบัติเหตุ รถชนคอหักตาย ผมเลยเห็นมีความคิดว่า หากมนุษย์มีโอกาสได้ทำความดีขนาดนั้นแปลว่ากรรมใน อดีตก็น่าจะหนุนนำมาดี เช่น อาจเคยทำทาน รักษาศีล ภาวนาอยู่เป็นประจำ และก็ศึกษาธรรมจนมาเจอพระธรรมของพระพุทธเจ้าในยุคนี้ ก็ไม่น่าจะไปเบียดเบียน ฆ่าสัตว์ (ซึ่งผลก่อให้เกิดตายโหงในปัจจุบัน) ได้ เลยไม่รู้ว่ากรรมน่าจะไม่ใช่ในอดีตชาติ ที่แล้ว แต่น่าจะเป็นอดีตชาติโน้นๆ หรือเปล่าครับ
๒. ทำดีขนาดนี้ทำไมกรรมไม่ดีถึงตามสนองได้ทันครับ น่าจะหนีกรรมได้หรืออาจจะให้เบาบางลง เช่น บาดเจ็บเล็กน้อยถึงแค่สาหัสก็พอ ไม่น่าตายโหง (รู้ว่ากรรมไม่ดี เปรียบเสมือนน้ำหมึก กรรมดีเปรียบเสมือนหยดน้ำ หากน้ำมากๆ เท่าแม่น้ำเจ้าพระยา ถามว่าน้ำหมึก ๑ หยดก็น่าจะเจือจางใช่มั๊ยครับ
ขออนุโมทนาบุญในธรมทานทุกท่านครับ
ควรทราบความจริงที่คนทั่วไปไม่รู้ แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ คือ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ผลที่ได้รับในปัจจุบันย่อมสมควรแก่กรรมที่เขาเคยได้กระทำไว้แล้ว แต่เราไม่รู้ก็คิดว่าไม่น่าเลยหรือไม่สมควรแก่เขาเลย แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า สมควรแก่เหตุคือ กรรมที่เขาทำไว้แล้ว แม้ว่าในปัจจุบันเขาจะดีหรือไม่ดีก็หนีกรรมไม่พ้น ผู้ที่จะรู้ว่าเป็นผลของกรรมใดในชาติไหน คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ดังตัวอย่างในพระสูตรดังนี้
เชิญคลิกอ่าน...
ขอเรียนให้ทราบว่า ตั้งแต่ได้ศึกษาธรรมที่มูลนิธิ โดยการสอนสั่งอบรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ป้าไม่เคยได้ติดใจสงสัยในเรื่องผลแห่งกรรมอีกเลยค่ะ ซึ่งทำให้ป้าเลิกสนใจอีกว่า ทำไมชีวิตของป้าจึงเป็นเช่นนี้ ทำอย่างไรจึงจะดีกว่านี้ และมุ่งศึกษาเพื่อสร้างสมความเข้าใจธรรมต่อไปเรื่อยๆ อีกอย่างนะคะ เรื่องของกรรม เป็นอจินไตยจะบวกลบคูณหารอย่างที่เราคิดว่า น่าจะเป็นไปนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ปัญญาเราไม่อาจหยั่งเรื่องกรรมได้ การสงสัยดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องที่เราไม่เชื่อมั่นในผลแห่งกรรม ดูเหมือนว่าเราจะยังสงสัย
ท่านผู้รู้ช่วยด้วยค่ะ มีความทุกข์จากความรัก ไม่มีใครช่วยได้เลย ได้ติดตามธรรมะจากมูลนิธิ มานานพอสมควรจึงพอบรรเทา ทุกข์ทางใจเช่นนี้เป็นวิบากหรือเปล่าคะ อาการทุกข์ วันเว้นวัน มันแปลกหรือไม่ เพราะเหตุใด เพราะวันที่ทุกข์อยากตายเลยทีเดียว แต่วันรุ่งขึ้นลองค้นหาความรู้สึกเมื่อวานกลับไม่พบ พอวันนี้ทุกข์อีกแล้ว ความรู้สึกทางใจเหมือนไม่มีการเกิดดับสลับอย่างที่เชื่อเลย คือเหมือนกับทุกข์ตลอดเวลา แต่ตอนนี้เฉยๆ ค่ะ ช่วยๆ กันวิจารณ์เถิดนะคะ
วิบากหมายถึงผลของกรรม ที่เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เช่น ทางตาเห็นพระพุทธรูปเป็นกุศลวิบาก ถ้าเห็นซากศพของสัตว์ก็เป็นอกุศลวิบาก ตลอดจนถึงทางกาย กระทบสัมผัสทีดีก็เป็นกุศลวิบาก ได้รับมีดบาดมือก็เป็นอกุศลวิบาก ยกเว้นทางใจ ไม่ใช่วิบาก (ไม่ใช่ผลของกรรม) ที่ทุกข์ใจ เป็นกิเลสที่สะสมมาให้คิดอย่างนั้น แล้วเป็นทุกข์ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ต้องเข้าใจถูกก่อนว่า กุศลคืออะไร อกุศลคืออะไร เพราะถ้ายังไม่เข้าใจถูกแล้ว อาจสำคัญผิดว่าสิ่งที่เป็นอกุศลเป็นกุศลได้ครับ หากเข้าใจความจริงของสัตว์โลกที่หนาไปด้วยกิเลส วันๆ หนึ่งกุศลหรืออกุศลเกิดมากในชีวิตประจำวัน แม้ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว กุศลเกิดมากหรืออกุศลเกิดมากในชีวิตประจำวัน อกุศลย่อมเกิดมากกว่า และชาติที่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ไปคบคนเห็นผิด คนพาล เป็นต้น ทำกุศลมากหรืออกุศลมาก ต้องตรงตามความเป็นจริง ดังนั้นการที่บุคคลจะได้รับผลของกรรมไม่ว่าจะดีหรือจะไม่ดีก็ตาม ก็เพราะผลของกรรมที่ได้ทำมาทั้งนั้น และในสังสารวัฏฏ์เราก็กระทำอกุศลกรรม มากกว่ากุศลกรรมมากมาย และอกุศลกรรมที่ทำแล้ว ที่ยังไม่ได้ให้ผลก็ยังไม่ได้หายไปไหน รอโอกาสเวลาที่จะให้ผลเหมือนสุนัขไล่เนื้อ (กวาง) ทันเมื่อใดก็กัดเมื่อนั้น อกุศลกรรมก็เหมือนกันครับ เมื่อได้โอกาส แม้ชาตินั้นจะเป็นถึงพระอรหันต์หรือเป็นพระอริยบุคคล ไม่ต้องกล่าวถึงปุถุชนที่ประพฤติธรรมก็ยังถูกกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ให้ผลได้เช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพานครับ
ดังเช่น พระมหาโมคคัลลานะที่ถูกโจร ทุบตี เพราะอดีตชาติก่อนๆ นั้นเคยทุบตีมารดาและบิดาไว้ เมื่อกรรมสบโอกาสก็ให้ผล แม้พระนางสามาวดีและบริวาร ๕๐๐ ซึ่งเป็นพระโสดาบันก็ถูกเผาทั้งเป็น แม้เป็นพระอริยก็ถูกเผาทั้งเป็นได้ เพราะกรรมที่ท่านไปจุดไฟเผาพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตชาติ กรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่ใช่คิดนึกเดาเอาตามเหตุการณ์แต่เป็นเรื่องของ ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะทราบโดยละเอียดได้ เพราะเราเกิดมาไม่ใช่แค่ชาติเดียวครับ
ขออนุโมทนา
สัตว์โลกทำทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม จึงต้องประสบทุกข์และสุขเป็นธรรมดา
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑-หน้าที่ ๒๙๗
ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็น นิตย์กระทำบุญกรรมก็มี เป็นผู้มีความประมาทกระทำบาปกรรมก็มี เหตุนั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง"
เรื่อง สมควรแก่กรรมที่ทำมาเพราะทำอกุศลกรรมเอาไว้ด้วย
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑-หน้าที่ ๒๙๙
ความตายของพระนางสามาวดีควรแก่กรรมในปางก่อน
ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า "ความตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ ไม่สมควรเลยหนอ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย"
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ" เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลว่า "ด้วย เรื่องชื่อนี้" ดังนี้แล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความตายนั่นของหญิงทั้งหลาย มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ไม่ควรแล้วในอัตภาพนี้ แต่ว่า ความตายอันหญิงเหล่านั้นได้แล้ว สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาทำไว้ในกาลก่อน (พระนางสามาวดีและบริวารในอดีตชาติได้เผาพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยเศษของกรรมจึงถูกเผาในชาตินี้)
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 4 โดย C.pongsiri
ท่านผู้รู้ช่วยด้วยค่ะ มีความทุกข์จากความรัก ไม่มีใครช่วยได้เลย ได้ติดตามธรรมะจากมูลนิธิมา นานพอสมควรจึงพอบรรเทา ทุกข์ทางใจเช่นนี้เป็นวิบากหรือเปล่าคะ อาการทุกข์วัน เว้นวัน มันแปลกหรือไม่ เพราะเหตุใด เพราะวันที่ทุกข์อยากตายเลยทีเดียว แต่วันรุ่งขึ้นลองค้นหาความรู้สึกเมื่อวานกลับไม่พบ พอวันนี้ทุกข์อีกแล้ว ความรู้สึกทางใจ เหมือนไม่มีการเกิดดับสลับอย่างที่เชื่อเลย คือเหมือนกับทุกข์ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ เฉยๆ ค่ะ ช่วยๆ กันวิจารณ์เถิดนะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จิตมี ๔ ประเภท คือ กุศล อกุศล วิบากและกิริยา กุศลและอกุศลเป็นเหตุ วิบากเป็นผลของเหตุ คือผลของกุศลและอกุศล กิริยา คือไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล เป็นต้น ขณะที่เป็นวิบาก (ผลของกรรม) คือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เป็นต้น เป็นผลของกรรม (วิบาก) แต่ขณะที่คิดนึก ไม่ว่าจะเป็นคิดนึกเรื่องอะไร ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต (ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์) เป็นเหตุ ไม่ใช่เป็นผล (วิบาก) ขณะที่ทุกข์ใจ ไม่สบายใจมีจริง ขณะนั้นคิดนึก เป็นอกุศลจิต ครับ ไม่ใช่วิบากที่เป็นผลของกรรม สภาพธัมมะทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไป ไม่กลับมาอีกเลย และสภาพธัมมะอื่นก็เกิดต่ออีก แต่เพราะความรวดเร็วของสภาพธัมมะที่เกิดขึ้นจึงเห็นว่า ไม่เกิดดับเลยและก็เห็นว่าทุกข์ใจอยู่ตลอด แต่ความเป็นจริงแล้ว มีสภาพธัมมะอื่นเกิดขั้นอยู่ เช่น ขณะที่คุณอ่านและคิดนึกตามความหมายของคำที่น่าจอ ขณะนั้นทุกข์ใจเรื่องนั้นไหม ดังนั้น ขณะที่เห็นไม่ทุกข์ใจ ขณะที่แปลความหมายในสิ่งที่เห็นในเรื่องอื่น ไม่ได้ทุกข์ใจเรื่องนั้น ขณะที่ได้ยินเสียงไม่ได้ทุกข์ใจ ขณะที่หลับไม่ได้ทุกข์ใจ แม้ขณะที่เฉยๆ ก็ไม่ทุกข์ใจ แต่เพราะสภาพธัมมะที่ทุกข์ใจเกิดบ่อย จึงสำคัญผิดเพราะ ตามธรรมดาก็ยังไม่ได้รู้ว่าสภาพธัมมะเกิดขึ้นและดับไปอยู่แล้ว และเมื่อมีเรื่องนั้นเข้ามา ทุกข์ใจจึงเกิดบ่อยจึงสำคัญผิดว่า ไม่เกิดดับและเหมือนไม่มีสภาพธัมมะอื่นเกิดเลย แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นครับ อย่างไรก็ตามขอให้เริ่มศึกษาจากความเข้าใจพื้นฐานว่า ธรรมคืออะไร ก็จะเป็นปัจจัยให้เข้าใจความจริงในอนาคตได้ครับ หากแต่ว่าเมื่อเข้าใจความจริงว่า ทุกข์เรื่องนั้นใช่ไหม
คลิกอ่านที่นี่ครับ...
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เพื่อนหญิงของป้าคนหนึ่ง เธอกินยากล่อมประสาทเกินขนาด เพราะไม่อยากนอนร้องไห้เมื่อชายหนุ่มตีจาก ป้าบอกเธอว่า ไม่มีอะไร หรือใครทำร้ายเธอได้ เธอทำร้ายตัวเอง ด้วยความคิดของเธอ เมื่อทุกข์จากความรักเกิด ทุกข์นั้นก็ต้องดับ เหมือนอย่างเจ้าของกระทู้บอก เมื่อวานนี้มีทุกข์อีกสักวันก็หาย ความคิดที่เป็นทุกข์ เป็นกิเลส ไม่ใช่วิบากกรรม กุศลและอกุศลวิบาก เกิดได้ ๕ ทางอย่างที่คุณWannee.S บอก คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะที่คุณกำลังทุกข์ใจ เป็นขณะที่คุณไม่ได้ใส่ใจทางตา หู จมูก ลิ้น และ กายแต่ก็จะทำอย่างไรได้คะ ในเมื่อเหตุปัจจัยให้เป็นทุกข์ยังมีอยู่ เมื่อไม่มีปัญญาก็ไม่มีทางเอาชนะความทุกข์ได้ ประการเดียวคือต้องใส่ใจในการศึกษาให้เข้าใจมากขึ้นไปอีก
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
ผมเข้าใจและไม่สงสัยในกรรมอีก เพราะรู้ว่า ทุกอย่างกรรมกำหนดไว้หมดแล้วโดย กรรมในอดีตที่ได้กระทำไว้ทั้งกุศลและอกุศล แต่ที่พอมีมาถาม เพราะเหตุว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมมักมองคนที่ศึกษาและปฏิบัติว่า โง่งมงายบ้าง ไม่ทันต่อโลกนี้บ้าง หมายถึงโลกสมัยใหม่ครับ และมักมองว่าการศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องของบรรพชิตหรือคนแก่ใกล้ฝั่งบ้าง คนที่ไม่ศึกษาก็มักจะหาเหตุต่างๆ มาขัดแย้งเสมอ ผมก็ได้แต่สงสารเขา พยายามจะสนทนาธรรมให้ความรู้ แต่เขาไม่รับ ก็คิดว่าน่าสงสารนะเพราะการเกิดมาเจอพระพุทธศาสนาถือว่าโชคดีมาก มาก สำหรับผมนะ และการมาเจอพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ยิ่งโชคดีมหาศาล ไม่สามารถจะบรรยายได้ครับ เพราะเราได้รู้ธรรมของพระพุทธองค์ ได้ลดการเวียนว่าย ในวัฎฎะสงสารลง หรืออาจจะไม่มาเกิดอีก แต่หากเราไม่เจอพระพุทธศาสนาก็ไม่รู้ ต้องเวียนว่ายและเป็นทุกข์กับการเกิดไม่รู้อีกกี่แสนโกฏชาติก็ไม่รู้ได้
ขออนุโมทนาครับ
จากความคิดเห็นที่ 1
ท่านมหากาลแม้ในชาติปัจจุบันทำกุศลรักษาอุโบสถ ๘ วันใน ๑ เดือน ถูกทุบจนตาย เหมือนไม่ยุติธรรมเลยที่ได้รับกรรมเช่นนั้น แต่ถ้าอ่านกรรมที่ ท่านทำไว้ใน[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ ๒๐๙
บุรพกรรมของมหากาล ปรากฎว่าท่านเคยฆ่าสามี เพราะอยากได้ภรรยา โดยที่ผู้ที่เป็นสามีไม่เคยรู้จักหรือโกรธแค้นกันมาก่อน ไม่มีใครหนีกรรมได้เลย
กราบขอบพระคุณมิตรทางธรรมทุกท่านที่แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็นของท่านช่วยประคับประคองความรู้สึกให้กลับมาอยู่ในกรอบที่สมควร "โลกนี้เป็นที่ดูผลของกรรม" ได้ความรู้สึกจริงๆ ค่ะ พอกลับมาคิดว่าที่ทุกข์ เพราะรักตัวเองมากกว่าก็เห็นจริงที่สุด ไม่ทราบว่าคุณ day ที่อกหักกินข้าวไม่ลงเป็น อย่างไรบ้าง วันนี้น่าจะสบายขึ้นแล้ว วันนี้รู้สึกอบอุ่นที่มีมิตรทางธรรมช่วยชี้แนะ ให้สติเบื้องต้นแม้จะยังไม่ไปถึงปัญญา
ฟังท่านอาจารย์สุจินต์บรรยายทาง สทร.ทุกวัน เช้า เย็น มาประมาณหนึ่งปียัง รู้สึกว่าได้สิ่งดีๆ มากมาย รู้ตัวบ่อยขึ้น กลัวทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดมากขึ้น กลัวอกุศลกรรมมากๆ
ช่วงมีทุกข์มากๆ นั่งอยู่หน้าจอคอมเฝ้าคลิกหาเพื่อนปลอบใจ แล้วก็ได้จริงๆ ดีใจที่มีเพื่อนบอกทาง ดีใจที่ได้เป็นสมาชิกชมรมดีๆ เช่นนี้ ขอบพระคุณ ขอบพระคุณมาก มาก วันนี้ขอถามท่านผู้ใจดีอีกสักเรื่อง เวลาเกิดความทุกข์ใจ การมนสิการที่ถูกต้องคือ รู้สึกถึงอาการที่มีใช่หรือไม่ เป็นอาการเดียวกับจมทุกข์หรือเปล่า เพราะเวลานี้ จะให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ยังทำไม่ได้ค่ะ
คุณ C.Pongsiri ชื่อเต็มว่า ชลันดา พง .... ใช่หรือไม่ครับชื่อนี้คุ้นๆ ทำงานอยู่ที่วิทยุการบินหรือเปล่า เคยทำงานอยู่ที่เนสท์เล่หรือไม่ ไม่แน่ผมอาจเจอเพื่อนเก่าก็ได้นะ ช่วยตอบด้วยครับ
น่าเสียดายที่ดิฉันไม่ได้เป็นผู้ที่คุณเจริญในธรรมเข้าใจว่าเป็นเพื่อนเก่า ดิฉันขอปวารนาตัวเป็นเพื่อนทางธรรมของท่าน เราไม่ทราบอายุกันแต่อายุทางโลกของดิฉันเกินครึ่งคน แต่อายุของการรู้ธรรมยังอนุบาล ยังต้องอาศัยท่านทั้งหลายที่อาจมีอายุน้อยกว่าแต่รู้สภาวธรรมมากกว่าได้ช่วยชี้แนะหนทาง ปัญหาของดิฉันที่กำลังประสบอยู่เป็น เรื่องออกจะพิลึกจนไม่กล้าอธิบายให้ใครทราบ แต่ข้อคิดเห็นต่างๆ ที่ทุกท่านได้ชี้แนะ เข้ามาเหมือนแสงเรืองๆ พอเห็นทางออกที่สดใสในวันข้างหน้า บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายได้ทำนี้จงเป็นปัจจัยให้ท่านได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยเทอญ
ความคิดเห็นที่ 15 โดย : C.pongsiri
ขอร่วมสนทนาด้วยคนนะครับ จากการศึกษา ขั้นเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ นะครับ เราก็จะพอเข้าใจว่า จิต เป็น สภาพที่เกิดดับเร็วมากและไม่ต้องไปสนใจที่จะนับหรือจับเวลานะครับ เกินความสามารถในฐานะของผู้ฟัง (สาวก) ก็คือฟัง คำสอนของศาสดา แล้วพิจารณาไตร่ตรองตามที่ได้ฟังมาเพื่อละความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทีละเล็กทีละ น้อย
ความทุกข์ใจ ก็เป็นสภาพที่มีจริง มีเหตุก็เกิด เกิดแล้วก็ดับไป มีเหตุใหม่ก็ทุกข์ใจใหม่ แต่ความทุกข์ใจเก่าที่เกิดขึ้นก็ดับไปแล้วไม่ใช่ทุกข์ใจเก่ามาเกิดซ้ำ แต่เนื่องจากสภาพที่จำเรื่องราวต่างๆ ของเรายังมีอยู่ ก็ทำให้เข้าใจ (เอาเอง) ว่าเหมือนกับเป็นทุกข์ใจอันเก่านั่นแหละ เพราะคิดเรื่องเก่าอยู่ แต่ความจริงแล้วเป็นจิตต่างขณะและต่างกัน เมื่อทุกข์ใจเกิดขึ้น ก็ทำกิจไม่สบายใจ และไม่มีผู้ใดไปยับยั้งได้ เป็นไปตามสภาพของเขาเช่นนั้น
นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ธาตุหรือธรรม แต่ละอย่าง แต่ละชนิด แตกต่างกันไป พระองค์ก็ทรงเปลี่ยน ธาตุทุกข์ใจ ให้เป็นธาตุสุขใจไม่ได้และไม่มีใครเปลี่ยนได้ และมีธาตุชนิดหนึ่งที่ทำกิจรู้และเข้าใจตามความเป็นจริงว่านั่นเป็นสภาพอะไร อย่างไร เป็นสภาพที่เป็นความดี เป็นประโยชน์ (กุศล) หรือเป็นสภาพที่เป็นความไม่ดีไม่เป็นประโยชน์ (อกุศล) หรือไม่ไช่ทั้งสองอย่าง ซึ่งธาตุชนิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีเหตุเช่นกัน
เหตุขั้นต้นก็คือ ต้องมีการ "ฟัง" ให้เข้าใจว่ามีสภาพธรรมคือ สิ่งที่มีจริงแต่ละชนิดไม่ปะปนกันและไม่มีใครไปทำอะไร แต่มีสภาพธรรมแต่ละชนิดปฏิบัติกิจของธรรมหรือของธาตุ แต่ละอย่างไม่ปะปน ไม่ก้าวก่ายกัน ถ้าพอจะเข้าใจว่าธรรมหรือธาตุ แต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป ก็พอที่จะเข้าใจคำว่า "ไม่มีตัวตน" เพราะเป็นธาตุ แต่ละชนิดนั่นเอง จะมนสิการอย่างไรเมื่อมีความทุกข์ = จะคิดอย่างไรเมื่อมีความทุกข์? ถ้าสั่งได้ก็คงจะสั่งให้คิดแต่สิ่งดีๆ มีประโยชน์ต่อทุกๆ ฝ่ายใช่ไหมครับ
แต่ความจริงไม่มีใครสั่งหรือเปลี่ยนธาตุหรือธรรมใดๆ ได้แม้แต่พระพุทธเจ้า ถ้าเหตุคือ ความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธาตุหรือธรรมมีเมื่อเหตุประกอบพร้อม หากความ ทุกข์ใจเกิดขึ้น ก็จะเข้าใจตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ความทุกข์ใจเกิดขึ้นทำกิจแล้ว เป็นสภาพที่ไม่เป็นประโยชน์ (อกุศล) ก็แค่นี้ล่ะ เมื่อเกิดใหม่อีกก็เข้าใจอีกหรืออาจจะไม่เข้าใจก็ได้ถ้าไม่มีเหตุให้เข้าใจ นี่ พอจะเป็นคำตอบได้ไหมครับ การศึกษาทั้งหมดก็เพื่อละความเป็นเรา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะละได้โดยง่ายหรือละได้ด้วยความเป็นตัวตน แต่ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยได้ เพราะธาตุที่ ทำหน้าที่เข้าใจตามความเป็นจริง ก็มีจริง มีเหตุก็เกิด เมื่อยังเป็นตัวตน อย่างน้อยก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่าเป็นตัวตน ก็ไม่แปลกอะไรนี่ครับ เพราะผู้ที่สามารถละความเป็นตัวตนได้โดยเด็ดขาดก็คือ พระโสดาบัน ซึ่งห่างไกลกับเรามาก มาก แต่เราก็กำลังเริ่มต้นที่จะละความเป็นตัวตน
ตั้งแต่คลิ๊กเข้ามาใน web นี้ และสนใจที่จะ "ฟัง" เพื่อที่จะเป็นเหตุให้ได้พิจารณาไตร่ตรอง เพื่อละความไม่รู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนแล้วใช่ไหมครับ ศึกษาธรรมก็เพื่อละความไม่รู้ เพื่อเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อไปบังคับสภาพที่ไม่เป็นที่น่าพอใจให้เปลี่ยนเป็นสภาพที่น่าพอใจ นั่นก็ขัดกับหลักความเป็นอนัตตาของสภาพสรรพสิ่งที่มีจริง
ขอเป็นกำลังใจในการศึกษาค่อยๆ เริ่มต้นนะครับ ความเข้าใจไม่ได้เพิ่มขึ้น จากความใจร้อนหรือความอยาก แต่เพิ่มด้วยเหตุอันถูกต้องและสมควร
...ขออนุโมทนา