ควรอบรมความเข้าใจถูก แทนการไปปฏิบัติธรรม
ดิฉันเคยคิดว่าเมื่อศึกษาธรรมะแล้ว ควรจะต้องไปปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แม้จะฟังท่านอาจารย์สุจินต์พูดในวิทยุว่าจะไปทำไม ให้ทำเป็นประจำทุกวัน ไม่ต้องไปไหน ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ายังไงๆ ก็ต้องหาโอกาสไปปฏิบัติ เผื่อว่าจะก้าวหน้าขึ้น
จนกระทั่งเมื่อวาน ดิฉันฟังท่านอาจารย์ตอบปัญหาธรรมในวิทยุ จึงได้รับความกระจ่างเข้าใจเหตุผล ที่ท่านอาจารย์ไม่เห็นด้วย ก็คือ เราไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหน แต่ให้พยายามศึกษาพากเพียรทำความเข้าใจ ทำความเห็นให้ถูกต้องในสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อมีความเห็นถูกต้อง ก็จะเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้สมบูรณ์ ตามกำลังปัญญาหรือความรู้ทั่วต่อไป เข้าใจผิดหรือถูกประการใดโปรดกรุณาชี้แนะเพิ่มเติมให้ด้วยค่ะ เพราะจะได้อธิบายให้ท่านอื่นๆ ฟังต่อค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ถูกต้องครับ หนทางนี้เป็นหนทางในการเจริญปัญญาและกุศลทุกประการเพื่อละอกุศลทุกประเภทตั้งแต่หยาบๆ ไปจนถึงอย่างละเอียดที่สุด ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีได้ ซึ่งถ้าคิดที่จะไปทำโดยไม่รู้ว่าธรรมะกำลังมีปรากฏในขณะนี้ ก็จะทำให้ไม่พบความจริง ไม่เห็นธรรมะและไม่เห็นพระพุทธเจ้าครับ เพราะว่าหนทางนี้ยาก ยาวนานและเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนของใครจะไปทำอะไรกับธรรมะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นได้เลย ธรรมะทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องอาศัยการศึกษาโดยละเอียดให้เข้าใจจริงๆ จนจรดเยื่อในกระดูกแม้ในเรื่องราวของธรรมะ เพื่อที่เป็นปัจจัยให้ธรรมะฝ่ายดี ได้แก่สติสัมปชัญญะ ทำกิจเข้าถึงธรรมะโดยความเป็นธรรมะครับ
เชิญคลิกฟังครับ --->
ที่เราคิดเรื่องการปฏิบัติธรรม ก็เป็นตัวตนของเราที่คิด และมีความหวังในการคิด จะหวังอย่างไร จะเป็นกุศลจิตได้อย่างไร ถ้าหากว่า เรายังมีความเห็นผิด เพราะหลายคนมักพูดว่า ปฏิบัติธรรม ถือศีล เดินจงกรม ไม่ได้ทำผิดบาปอะไร ทำไมไม่ส่งเสริม ป้าเคยห้ามมิตรในธรรมหลายท่าน ว่าอย่าเพิ่งปฏิบัติเลย ฟังธรรมให้เข้าใจก่อน เพราะเมื่อเราฟังธรรมจนเริ่มเข้าใจในเรื่องราวของธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาสั่งสอนเรา แล้วเราจะรู้ได้เลยว่าไม่มีใครไปปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น สภาพธรรมปฏิบัติเองเป็นประจำทุกขณะจิตอยู่แล้ว เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง อัพยกตบ้าง สติมา ปัญญามีเมื่อไร การปฏิบัติของสภาพธรรมก็จะเป็นโสภณธรรม แต่ถ้าเป็นเราจะไปทำ ทำที่ไหน อย่างไร เมื่อไร เมื่อนั้น เป็นการปฏิบัติด้วยตัวตน และย่อมประกอบด้วยความเห็นผิด เพราะยังเป็นตัวตน ที่กล่าวมานี้ เพราะป้าเคยปฏิบัติตามๆ กันมาก่อน เมื่อสักสิบปีที่แล้ว โชคดีบุญพาวาสนาส่ง ในปีต่อมา ได้มีโอกาสกราบท่านอาจารย์สุจินต์ ได้รับฟังและสนทนาธรรมกับท่านเมื่อท่านทราบว่า ได้เคยปฏิบัติแบบนั้นมาก่อน ท่านได้กรุณาอธิบาย อย่างที่คุณได้ฟังหลายๆ ครั้งในเทปหลายๆ ม้วน ท่านอธิบายแล้วถามต่อว่า ต่อไปนี้ จะปฏิบัติอีกหรือไม่ ป้าก็ยังงงๆ ตอบไม่เต็มคำ ท่านก็ย้ำให้สติหลายๆ ครั้ง จนป้ารับปากว่า จะไม่ปฏิบัติอีกและเริ่มโยนความคิดแบบเก่าออกไปจนหมด เริ่มตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านกล่าว ฟัง ฟัง ฟัง พยายาม เข้าใจ ใช้เวลานานนะคะ กว่าป้าจะยอมรับหมดใจได้เลยว่า ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหนอีก สภาพธรรมในขณะนี้ ทั้งนามและรูป กำลังปฏิบัติกิจการงานต่างๆ โดยไม่สามารถเข้าไปบังคับ บัญชาได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้นค่ะ
กราบอนุโมทนาด้วยความสำนึกในพระคุณของท่านอาจารย์ ที่ได้กรุณาแก่ศิษย์คนนี้ ในวันนั้น จึงมีวันนี้ วันที่ป้าเร่ิมเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมที่ปรากฏ
ไม่ว่าจะทำอะไร....ต้องไม่ลืมว่า ทำแล้วปัญญารู้อะไรนะคะ.
ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ
เรียน คุณพุทธรักษา ขอประทานโทษนะคะ หากดิฉันเข้าใจผิดและล่วงเกินไปที่ว่า ต้องไม่ลืมว่าทำแล้วปัญญารู้อะไร ปัญญาเป็นอนัตตา เกิดแล้วดับ จับไม่ได้
จริงค่ะ ปัญญาเป็นอนัตตา เพราะ ปัญญาเกิดเพราะเหตุปัจจัย
บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไป จับไม่ได้เพราะไม่ใช่รูปบางประเภท. ปัญญามีหลายระดับค่ะ ขณะมีฉันทะในการศึกษาพระธรรม ขณะนั้นเป็นปัญญาที่รู้ว่า ศึกษาพระธรรม ฟังธรรม เพื่อ ละความไม่รู้ ปัญญาขั้นเข้าใจในพระธรรมที่ได้ฟัง เกิดจากการพิจารณาตามสิ่งที่ได้ฟัง สะสมไปจนกว่าจะเป็นสัญญาที่มั่นคง พอที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ปัญญาเกิด ค่อยๆ ระลึกรู้ สภาพธรรมตามความเป็นจริง จนกว่าจะละคลายความเห็นผิด
ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน ดังข้อความบางตอนที่เขียนไว้ในหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป (หน้า ๔๕๘-๔๕๙) เรื่อง วิปัสสนาภาวนา ที่มีใจความว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ปรากฏเป็นไป ทางตา......ใจ ทุกวัน ทุกขณะอย่างละเอียด เพื่อให้เห็นโทษของอกุศลธรรมและภัยของสังสารวัฏฏ์.วิปัสสนาภาวนา (การฝึกอบรมปัญญาให้"รู้"แจ้งสภาพธรรมตาม ความเป็นจริง) มีปรมัตถธรรมป็นอารมณ์ สังเกตพิจารณาทีละอารมณ์ บ่อยๆ เนืองๆ จนรู้ว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน. และควรทราบว่าแม้ขณะที่กำลังระลึกรู้สภาพตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏเช่น โลภ โกรธ หลงไม่ใช่ "เรา" ที่กำลัง "รู้"
ขออนุโมทนาที่สนใจศึกษาพระธรรมค่ะ