ในแต่ละวันเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจ

 
ไกรราช
วันที่  23 ก.พ. 2551
หมายเลข  7474
อ่าน  1,471

จะแก้ไขอย่างไรดีครับ ในแต่ละวันเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็ไม่พอใจอยู่นาน ทำให้เสียเวลา ทำงาน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 23 ก.พ. 2551

แก้ด้วยการอบรมเจริญปัญญา จนบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งหมดไม่ต้องกลับมาเกิด มาเจอสิ่งที่ไม่น่าชอบใจอีก และมาไม่พอใจอีก ดังนั้นมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะดับกิเลสทั้งหมดได้ คือการอบรมเจริญปัญญาหรืออริยมรรคมีองค์ ๘ หรือสติปัฏฐานครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
devout
วันที่ 23 ก.พ. 2551

ยิ่งเสพก็ยิ่งสะสม ก็ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจต่อไปอีก หากพิจารณาเรื่องของกรรมและวิบากแล้ว ก็จะไม่คิดเคืองโกรธไม่โทษใครๆ เพราะท่านกำลังรับผลของกรรม และกำลังกระทำกรรมใหม่

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 23 ก.พ. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ฟังธรรม..ทางเดียวครับ

การจะได้ยินเสียง การเห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นผลของกรรมที่ตัวเองทำมา การที่ไม่ชอบใจไม่ใช่เพราะคนอื่นแต่เพราะกิเลสที่มี สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในขณะนั้น ไม่มีใครทำเรา และไม่มีเราที่ไม่ชอบ มีแต่สภาพ ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป จะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นธรรม บังคับให้พอใจหรือไม่พอใจไม่ได้ตราบใดที่มีกิเลส ขณะที่ทำงาน แม้ขณะที่เสียเวลาทำงาน ไม่ได้ทำงานก็มีธรรม การอบรมปัญญาเพื่อ ดับกิเลสคือ รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ว่าขณะไหนก็มีธรรม โดยเริ่มจากการฟังว่าธรรมคืออะไร เราลืมไปว่าเราไม่ได้เสียเวลาเมื่อเกิดโทสะ (ไม่ชอบ) แม้ขณะที่เกิดความยินดีพอใจ (โลภะ) เราก็เสียเวลา เสียเวลามามากแล้วในสังสารวัฏฏ์ อบรมปัญญาเพื่อดับกิเลสคือ ไม่ได้หนีไปจากชีวิตประจำวัน มีสิ่งที่ควรให้รู้ แม้ขณะที่เสียเวลาทำงาน ไม่ใช่ให้หลีกหนีความไม่ชอบแต่เข้าใจความจริงว่า ความไม่ชอบคืออะไร?

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ajarnkruo
วันที่ 23 ก.พ. 2551

ฟังพระธรรมแล้วพิจารณาตาม จนเกิดความเข้าใจว่า ที่ไม่ชอบใจก็เป็นสิ่งที่มีจริง บังคับบัญชาไม่ให้เกิดไม่ได้ด้วย เป็นธรรมะชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้น เพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิดจึงต้องเกิด แม้จะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี ก็ยังมีอยู่ ยังไม่ได้ดับความไม่ชอบใจนั้น แต่ท่านไม่มีความเห็นผิดว่า เป็นตัวท่านที่ไม่ชอบใจ ส่วนผู้ที่เป็นเพียงปุถุชน ยังมีความเห็นผิดมากมาย และเหนียวแน่นว่า "เป็นเรา" ไม่ชอบใจ จึงย่อมจะต้องประสบทุกข์มากกว่าพระอริยเจ้า มีหนทางเดียวคือ ฟังพระธรรม จนกระทั่งความเข้าใจที่มากขึ้นนั้น เป็นปัจจัยให้สังขารขันธ์ฝ่ายดี น้อมไปที่จะระลึก ศึกษาถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะที่เกิด จึงปรากฏในชีวิตประจำวัน ทีละนิดครับ ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศล ทุกข์ใจไม่เกิด ขณะที่เข้าใจเกิดมากขึ้น ทุกข์ใจก็เกิดน้อยลง ค่อยๆ ศึกษาต่อไปครับ...อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พุทธรักษา
วันที่ 25 ก.พ. 2551

จากข้อ ๑. ยากสุดๆ แต่เป็นจุดจบของปัญหาทุกอย่างจริงๆ

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Pornlikit
วันที่ 30 ก.ย. 2564

ขอถามผู้รู้

ถ้าเรายังแก้ที่จิตเราไม่ได้ แค่เจอหน้าก็รู้สึกไม่อยากมอง หงุดหงิดในใจ รู้ตัวทันทีว่าไม่ชอบ อาจจะเพราะเขามีกรรมกับเราหรือเปล่า ยิ่งเราตีตัวออกห่าง เมินเฉย เขาก็ยิ่งมาทำดีด้วย ยิ่งทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ เกิดโทสะ ขึ้นมาอีก อย่างงี้เราต้องทำอย่างไรดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ก.ย. 2564

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุระเชษฐ์
วันที่ 4 ต.ค. 2567

ผมเคยลองปฏิบัติตามหลายอาจารย์ ทั้งสมถะภาวนา วิปัสนาภาวนา แบบเจริญสติตัวรู้ขึ้นมาตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ แรกๆ ก็สงบดี แต่รู้ได้ว่ากำลังติดสงบ!! พอไม่สงบก็หงุดหงิด ... ลองทำให้จิตเป็นสมาธิตลอดเวลา พบว่าดำรงชีวิตประจำวันยาก ... ลองศึกษารูปแบบ"สติตัวรู้"พบว่ามันฟันตู!กับปัญญา ความคิด ความรู้สึกในจิต กลายเป็นเราไปเพ่งการเกิดดับของจิตไม่จบสิ้น ... ฟังอ.สุจินต์ สอน แรกๆ งงมากครับ บางคลิปเปิดวนๆ 5-6รอบ ตอนนี้ลองใช้ปัญญาดูรายละเอียดขั้นตอนการเกิดดับ"ทีละหนึ่ง!!!" เริ่มรู้ว่าถ้าเราเห็นหน้าคนที่เราเคยไม่ชอบ แต่เรามองเห็นเป็นแค่วัตถุหนึ่ง ความไม่ชอบทุเลาลง และพยายามทำอย่างนี้กับทุกอริยาบท รู้ได้แค่ในวันแรกว่า จิตเริ่มนิ่งขึ้น และรู้ว่าดีกว่าหลายวิธีที่ได้เคยทำมา ความไม่ชอบลดลง ความหงุดหงิดลดลง ความกลัวลดลง ... แต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นรู้ เบิกบาน ...

1) .ขออนุญาติถามอ.สุจินต์ ว่า ผมเข้าใจถูกต้องหรือยังครับ?

2) .ผมอยากลองทำสมถะภาวนาแบบถูกต้องนั้น ต้องทำอย่างไรครับ?

... ขอความกรุณาชี้แนะด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ต.ค. 2567

ต้องเข้าใจเรื่องของสติก่อน ครับ

ท่านอาจารย์ การฟังต้องละเอียด ไม่ใช่ว่าทุกขณะที่ทำอะไรๆ มีสติ นั่นเข้าใจผิด สติต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ในขณะที่ระลึกเป็นไปในทาน การให้ มีการให้ขณะใด ขณะนั้นจึงมีสติที่เป็นไปในการสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น ในขณะที่วิรัตทุจริต ขณะนั้นจึงเป็นสติ ในขณะที่มีจิตเมตตา หรือว่ามีกุศลจิตเกิดขึ้นขณะใด ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา ทางใจ

ต้องทราบว่า สติเป็นโสภณ เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปในกุศลธรรม คือ ต้องเป็นไปในทาน ในศีล หรือในความสงบของจิต หรือสติปัฏฐาน นอกจากนั้นแล้วไม่ใช่สติ กำลังคุยกันขณะที่กำลังขับรถ เป็นสติหรือเปล่า ขณะที่กำลังระวังไม่ให้ชน เป็นสติหรือเปล่า ต้องพิจารณาแล้ว ถ้าไม่เป็นไปในทาน ในศีล ในความสงบของจิต ซึ่งเป็นสมถภาวนา หรือในการเจริญปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่ใช่ในทาน ศีล ภาวนาแล้ว ไม่ใช่สติ

ไม่มีใครไปใช้สติได้เลย สติเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่มีใครไปใช้สติ ใช้สติก็ไม่ถูก ใช้ไม่ได้

สติเกิดหรือไม่เกิด สติขั้นไหน สติขั้นทาน หรือขั้นศีล หรือขั้นความสงบที่เป็นสมถะ หรือว่าขั้นสติปัฏฐาน

ขอเชิญรับฟัง

ขณะไหนชื่อว่ามีสติ

สมถภาวนาคืออะไร

สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา ต่างกันอย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิริพรรณ
วันที่ 4 ต.ค. 2567

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

เพราะได้ฟังพระธรรม จึงทราบว่า การศึกษาสิ่งที่ปรากฎในชีวิตประจำวัน เป็นหนทางเข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างที่เกิดที่มีจริง เป็นธรรม และเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเกิดแล้วดับตามเหตุปัจจัย แม้แต่ความไม่ดีที่ลดลง หรือความดีที่เพิ่มขึ้น ก็ต้องอาศัยปัจจัย

แต่ปุถุชนยังมีพืชเชื้อของกิเลสมากมาย และความเข้าใจขั้นการฟัง ยังไม่สามารถทำลายพืชเชื้อนั้นได้ จึงต้องฟังพระธรรม ไตร่ตรองพิจารณา ด้วยความเคารพและอดทนต่อไป

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณอนุโมทนาที่เกื้อกูลการศึกษาพระธรรมด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ต.ค. 2567

การเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติ

สำหรับเรื่องของการเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติก็ตาม หรือว่าความเห็นผิดในข้อปฏิบัติก็ตาม เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะแก้ไขบุคคลที่ไม่ได้สะสมมาที่จะมนสิการหรือ พิจารณาในเหตุผลให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง


ทั้งๆ ที่ฟังด้วยกัน ท่านหนึ่งสามารถที่จะพิจารณา มนสิการในเหตุผลตามคลองของธรรมตรงตามความเป็นจริงได้ แต่อีกท่านไม่พิจารณาเลย และก็ไม่เข้าใจด้วย

เมื่อผู้ใดไม่ได้สะสมเหตุปัจจัยมาที่จะพิจารณาธรรมให้ถูกต้องตามคลองของธรรม บุคคลอื่นก็ไม่สามารถที่จะไปแก้ไข หรือไปเปลี่ยนแปลงปัจจัยของเขาที่สะสมมาที่จะเห็นผิด ให้กลับเป็นการพิจารณาธรรมด้วยความแยบคายได้ แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานก็ตาม

ใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ภรัณฑุสูตร มีข้อความว่า

ขอเชิญรับฟัง

ภรัณฑุสูตร สะสมมาที่จะเห็นผิด

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ถ้าท่านไม่ศึกษาโดยตลอด ไม่พิจารณาไตร่ตรอง สอบทาน เทียบเคียงโดยแยบคาย โดยละเอียดจริงๆ จะเข้าใจ สภาพธรรมผิดได้โดยง่าย แต่เพราะเหตุที่ธรรมเป็นสภาพที่มีจริง คงทนต่อการพิสูจน์ ผู้ที่ได้ตรัสรู้สภาพธรรมนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง จึงได้ทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไว้

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ