มัจจุพาไปทั้งที่ยังเพลิดเพลิน
ผู้ที่ติดข้องอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นทาสของตัณหา ทำให้ไม่เห็นสัจจะธรรมความจริง แต่ผู้ที่ไม่ติดข้องในกามคุณห้า ย่อมพ้นจากทุกข์ได้ค่ะ
...เหมือนแมลงภู่ .... ถือเอาแต่รสแล้ว แล้วบินไปฉะนั้น.
เป็นการอุปมาที่ละเมียดละไม และละเอียด ลึงซึ้งมากครับ...
อนุโมทนาครับ
เพราะอวิชชา ... โอกาสแห่งการเห็นตามความเป็นจริงนั้นยากนัก
ขออนุโมทนาค่ะ
ผมขอสอบถามเพิ่มเติมนะครับ (ทั้งนี้ มิได้มีเจตนาจ้วงจาบต่อกระทู้ธรรมบทที่ 13 หรือหาก ถ้าท่านผู้อ่านท่านอื่น เห็นอย่างนั้น กรุณามอบอภัยทานแก่ผมด้วยนะครับ) หากเป็นกรณีที่ นระมิได้พึงใจเก็บดอกไม้นั้นแล้ว แต่จำเป็นต้องเก็บ (อาจเนื่องจากกรรมเก่า) นระผู้นั้นควรเก็บดอกไม้อย่างไร? เพราะตามบทความนี้ แสดงไว้แต่เฉพาะกรณีที่เมื่อ นระมีความพึงใจในการเก็บดอกไม้นั้นแล้ว มัจจุราช จึงจะพานระผู้นั้นให้เพลินไป แต่หากนระนั้นไม่พึงใจเก็บ ยังจะมีมัจจุราชใดๆ ที่จะพานระนั้นไปยังที่ไหนๆ อีกหรือไม่ครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ดอกไม้ ในที่นี้คือ กามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน บุคคลย่อมข้อง ในอารมณ์ต่างๆ (อารมณ์ต่างๆ คือ รูป เสียง....) มัวเก็บดอกไม้ คือกามคุณ 5 ด้วยความติดข้องด้วยกิเลส ในรูป เสียง...ซึ่งตราบใดที่เป็นปุถุชนแล้ว ที่จะไม่พึงพอใจ ติดข้องในการเลือกเก็บดอกไม้ คือ ติดข้องใน รูป เสียง กลิ่น รส...เป็นต้น เป็นไปไม่ได้ เมื่อติดข้อง ย่อมไม่รู้ความจริงและไม่อบรมปัญญา บุคคลนั้นก็ย่อมถูกมัจจุความตายพาไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ และติดข้องอยู่ หากแต่ว่า บุคคลที่อบรมปัญญา ถึงแม้จะติดข้อง เพราะต้องกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส (มัวเก็บดอกไม้) แต่ก็สามารถอบรมปัญญา เพื่อดับกิเลสคือเข้าใจความจริงว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นเพียง รูป ไม่ใช่เรา เป็นเพียงเสียง ไม่ใช่ใคร เป็นต้น ผู้ที่จะไม่ถูกมัจจุพาไป หมายถึง บุคคลที่บรรลุดับกิเลสแล้ว คือเมื่อตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ถูกมัจจุความตายพาไป
ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์