ประดุจพลิกแผ่นดิน และยกภูเขาสิเนรุ
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากจริงๆ พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าชีวิตจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พระธรรมที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้นั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของพระไตรปิฎก ไม่มีส่วนใดที่ พระองค์ทรงสอนให้เกิดอกุศลจิตเลย พระองค์ทรงแสดงธรรมให้งดเว้น ให้ละทุจริตกรรม มีประการต่างๆ ทีแรกอาจจะยังปฏิเสธหรือคัดค้าน ว่าทำไม่ได้หรือว่าแสนยาก แต่ว่าถ้าหากอาศัยฟัง การพิจารณาจนกระทั่งเห็นตามความเป็นจริง
ก็สามารถทำตามพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้ได้ (ไม่มีตัวเราที่ไปทำ แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีตัวตน สัตว์บุคคล)
เพียงชั่วขณะที่เว้นจากทุจริตกรรมประการต่างๆ นั้น ย่อมเป็นกุศลที่ควรสะสม
กุศลควรที่จะกระทำ ถ้าจะคิดไปๆ เหมือนข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า เห็นว่าทำได้ แสนยาก ประดุจพลิกแผ่นดิน และประดุจยกภูเขาสิเนรุ แต่ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ ก็คงจะมีวันถึงสักวัน คือถึงวันที่บรรลุคุณธรรม ถึงความเป็นผู้ดับกิเลสแล้วก็ละทุจริตกรรมเหล่านั้นได้ ผู้ที่ได้บรรลุอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น ไม่ใช่ว่าท่านใช้เวลาเพียงวันเดียวแล้วก็ได้บรรลุ แต่ท่านได้สั่งสม อบรมการฟังพระธรรมมานับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดี ให้ได้พิจารณา และสามารถที่จะเริ่มอบรมได้ ครับ ขอเชิญคลิกอ่านข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎกที่นี่.... ฉัตตมาณวกวิมาน
ถ้าเป็นผู้ไม่ได้อบรมเจริญปัญญามา ก็ไม่มีทางที่จะละกิเลสทั้งหลายได้ ในเมื่อเป็นผู้ยังมีกิเลสอยู่ จึงต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ เพราะพระองค์ทรงแสดงว่าธรรมเหล่าใดมีโทษ ธรรมใดเป็นอกุศล ก็ควรละ ควรเว้น ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ เป็นกุศล ก็ควรที่จะอบรมเจริญให้มีขึ้น.
เอเดี๋ยวนี้เวปเรา นอกจากมีธรรมรสอันประณีต แล้วยังมีรูปอันประณีตอีกด้วย
สี สี สีหนอ สวย สวย สวยๆ ๆ ๆ
สาธุ
กุศลธรรมแม้เกิดน้อย ก็อาจจะค่อยๆ สะสมไปจนทำให้เป็นผู้มีกาย วาจา ใจที่ดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่เพียงพอที่สำคัญคือ ปัญญา...อนุโมทนาครับ...
ปัญญาสำคัญที่สุด ปัญญารู้ว่าอะไรควรเจริญ อะไรควรละ การสะสมโภคทรัพย์ก็ยังมีวันสลาย พินาศไปได้ แต่สะสมปัญญาไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะรื้อภพชาติออกไปค่ะ
ท่าน อ.สุจินต์ กล่าวเสมอว่า ไม่เพียงศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจเท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติตามด้วย จึงจะได้ชื่อว่า สาวกและเป็นผู้ที่เคารพนบนอบในพระพุทธองค์จริงๆ
ซึ่งก็หมายถึงว่า ต้องมีปัญญาถึงระดับที่เป็นเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติตามคือ เว้นทุจริตกรรม และเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นแต่ไม่ใช่ด้วยความมีตัวตน ด้วยความเป็นเรา หากยังปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ต้องฟังต่อไป สะสมปัญญาต่อไปครับ เพราะนั่นแสดงว่า ปัญญายังไม่เพียงพอที่จะเว้นอกุศลและเจริญกุศลได้ ไม่ควรขาดการฟังและพิจารณาให้เข้าใจ
ขออนุโมทนาครับ