ศึกษาไปเพื่ออะไร
เรียนถามสมาชิกทุกท่านครับ ว่าที่ท่านศึกษาพระธรรมคำสอนไปเพื่อสิ่งใดครับ
ต้องมีเหตุให้ทุกท่านศึกษา และทำให้เกิดผลในการศึกษา แต่ละท่านคำตอบคงไม่เหมือนกัน เพราะเหตุแต่ละท่านไม่เหมือนกัน
เรียนถามด้วยความจริงใจครับ และสาธุการทุกคำตอบครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ฟังการตอบคำถามของท่านอาจารย์ที่ให้กับคุณสุกัญญา
พอจำได้เล็กน้อยและจดไว้ได้ทัน (ขออภัยค่ะ) แบบกระท่อนกระแท่นว่า
คิดถูกต้องเป็นปัญญาขั้นหนึ่ง (เพราะปัญญามีหลายขั้น) อย่างน้อยก็เห็นถูกว่ายังไม่ถึงระดับนั้น ถ้าไม่มีปัญญาจะเห็นถูกได้มั้ย ถ้าไม่มีปัญญาความเข้าใจถูกจากขั้นการฟัง
ความไม่รู้ก็อย่าข้าม มีจริงๆ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม คงมองข้ามความไม่รู้ไปตั้งมากมาย ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
สังสารวัฏฏ์ยาวนาน ไม่สามารถกำหนดเบื้องต้นและที่สุด การศึกษาพระธรรมเพื่อการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่ออบรมสะสมเจริญปัญญาต่อๆ ไปนั้น เพื่อให้สังสารวัฏฏ์นี้มีที่สิ้นสุดในกาลข้างหน้าอันแสนไกล อาจต้องศึกษาอบรมสะสมเจริญปัญญาไปอีกนานเป็นแสนกัปป์หรือเป็นอสงไขย แต่แสนกัปป์หรืออสงไขย ยังนับได้ยังสิ้นสุด ดีกว่าต้องเป็นผู้หลง เป็นผู้ไม่ศึกษา เป็นผู้ไม่น้อมไปในการฟังพระสัทธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ความไม่มีที่สิ้นสุดในสังสารวัฏฏ์ย่อมเป็นอันหวังได้แน่นอน
ตามที่ได้ศึกษามา เราควรฟังพระสัทธรรม เพื่อ ขัดเกลากิเลส เพื่อออกจากวัฎฎะ แต่ตามที่เป็นมาในอดีต ผมฟังพระสัทธรรม เพราะติดใจในปิติที่เกิดจากการฟังพระสัทธรรม คือ ตั้งแต่เล็กมา พ่อแม่ตามใจผมมาก ถ้าไม่ได้อย่างใจผมจะอาละวาด แล้วผมก็ได้สิ่งที่ต้องการ ผมถูก ราคะ โทสะ แผดเผาใจมาตลอด ถึงมีคนคอยเอาใจอยู่ ก็ไม่รู้จักความสงบสุขในใจเลย เมื่อได้ฟังพระสัทธรรม จึงค่อยๆ รู้จักความสุขชนิดใหม่นี้ ซึ่งละเอียดกว่าประณีตกว่า ความพอใจที่เกิดจากการมีคนคอยเอาใจ ผมค่อยๆ เปลี่ยนจาก เด็กที่มีแต่คนเกรง (เกลียด) กลัว เป็นเด็กที่ใครๆ ก็รัก เสือถอดเล็บ เป็นคำที่เค้าเรียกผมลับหลัง ในตอนนั้น
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของท่านทั้งหลายเบิกบาน
ปล. ลืมบอกไป คือตอนนี้ ผมแก่แล้วครับ
ศึกษาธรรมะเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความชั่ว เพื่อเป็นคนดี และทำความดีสูงสุดจนกว่าจะเป็นบารมีให้ถึงฝั่งคือ พระนิพพาน คือ ความไม่เกิดอีกเลยค่ะ
ศึกษาเพื่อความเห็นถูกเข้าใจถูกความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่ศึกษาย่อมเห็นผิดเข้าใจผิดแน่นอนว่าธรรมะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาและงาม แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าธรรมเป็นเราและของเรา เมื่อได้ศึกษาก็มีความเห็นถูกเข้าใจถูกขั้นการฟังว่า ธรรมะคือ สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาและไม่งาม จนกว่าปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นจนถึงขั้นประจักษ์แจ้งถึงขั้นพระอรหันต์ก็จะดับกิเลสโดยสิ้นเชิง ซึ่งคงต้องใช้เวลาเป็นแสนโกฏิกัปป์ (อนุโมทนาค่ะ)
ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ สำหรับผม (คนเดียว) มีหลายเหตุผลครับ
๑. ผมศึกษาเพื่อเป็นแนวทางชีวิต เพราะทำตามคำสอนแล้วอะไรๆ มันดีขึ้นครับ
๒. คำสอนเป็นคำที่น่าพิสูจน์น่าติดตาม มีเหตุมีผลอย่างลึกซึ้ง
๓. เชื่อว่าเป็นทางที่ดีที่ถูก เพราะถ้าไม่ดีจริงคงอยู่ไม่นานขนาดนี้
๔. เพื่อความไม่ประมาท เพราะถ้านรกสวรรค์มีจริง ผมไม่อยากลงนรก
๕. คนมีศรัทธาในศาสนาเป็นคนน่าคบหา อยู่ใกล้แล้วอุ่นใจ
๖. ถ้าในสังคมมีคนศรัทธาในศาสนามากๆ โลกมันคงสดใส อยู่อย่างสบายใจ
การศึกษาพระธรรมก็เพื่อให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นเพียงจิต เจตสิก รูป ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ศึกษาเพื่อให้เกิดการเห็นถูกเห็นตรงในสภาพธรรมตามความเป็นจริง อบรมเจริญปัญญาเพื่อจะละความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากตัณหากิเลสเป็นสมุจเฉท จะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตาย เกิด วนเวียนอยู่ในวัฎฎะอีก
ศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา หวังความหลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเวียนว่าย ตาย เกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนแผนที่เดินทาง ให้ทุกคนเลือกเดิน สามารถพิสูจน์ได้ทุกกาลเวลา ปฏิบัติได้ไม่เลือกกาลเวลา โดยเฉพาะในชีวิตประจำวัน ดิฉันสามารถนำหลักธรรมะ มาใช้ในการทำงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความเมตตา ขันติ อุเบกขา และการให้อภัย ซึ่งก็ทำให้เรามีความสุข ไม่ต้องทุกข์มาก
ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า ธรรมะ คืออะไร
หากประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าธรรมะ คืออะไร
ก็สามารถบรรลุธรรม ได้ ดับกิเลสได้เป็นสมุทเฉท
การเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ท่านเปรียบเหมือน เต่าตาบอดในมหาสมุทร ร้อยปีจึงโผล่หัวครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะโผล่ตรงช่องแอกเล็กก็ยากมาก
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ .. จากสวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์