คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ก็ต้องขออนุโมทนาคุณฟองจันทร์ เพราะเหตุว่ามีชาวต่างประเทศที่มาสนทนาเป็นปกติในวันเสาร์ ก็มีผู้ที่ใหม่ท่านหนึ่ง ท่านก็สนทนาด้วย แล้วคุณฟองจันทร์ก็พูดถึงประสบการณ์ของตนเอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟังธรรมะ โดยสามีเป็นผู้ที่ชักชวนให้มาฟัง คำถามของคุณฟองจันทร์ก็คือถามว่าธรรมะคืออะไร และดิฉันก็บอกคุณฟองจันทร์ว่า คุณฟองจันทร์ลองจับหรือสัมผัส กระทบอะไรสักอย่าง คุณฟองจันทร์ก็เริ่มไม่พอใจ ถามว่าธรรมะคืออะไร และบอกให้จับอะไรสักอย่างหนึ่ง คุณฟองจันทร์เล่าเองดีไหมคะ
ผู้ฟัง เมื่อตอนที่ไปฟังธรรมกับท่านอาจารย์ใหม่ๆ ที่วัดบวร เมื่อก่อนท่านอาจารย์จะสนทนาธรรมกับฝรั่ง เป็นวันพุธบ่ายสอง ถึงบ่ายสี่ ทำนองนั้น คุณไอแว่นจะไปสนทนาธรรมที่วัดบวรเป็นประจำ ตอนนั้นดิฉันเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยมากมายเกี่ยวกับธรรม คุณไอแว่นก็ไปเจอท่านอาจารย์ แล้วกลับมาบอกดิฉันว่าไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง พูดธรรมไม่เหมือนใครเลย ก็ถามคุณไอแว่นว่า แล้วเขาพูดว่าอย่างไร เขาบอกว่าต้องไปฟังเอง เขาบอกเขาพูดแทนไม่ได้ ก็ตั้งใจมากที่จะไปฟัง แล้วกลัวจะตกหล่นก็เอาเครื่องอัดเทปไปด้วย แล้วเมื่อไปถึงก็เรียนถามท่านอาจารย์ว่า ธรรมคืออะไร เป็นคำถามแรก ท่านอาจารย์ก็บอกว่าคุณแอ๊วลองจับเครื่องอัดเทปดูสิคะว่าเจออะไร ในใจก็เถียงท่านอาจารย์ว่า ถามว่าธรรมคืออะไร แล้วให้จับเครื่องเทป แล้วจะเจออะไร ก็ไม่เข้าใจ คือเป็นคนที่ต่อต้าน และไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ให้จับเครื่องเทป แล้วจะไปเจออะไร ก็จับอย่างเสียไม่ได้ เรื่องนี้ก็ต้องกราบขอโทษท่านอาจารย์ ไว้ ณ ที่นี้ แล้วท่านอาจารย์ก็ถามว่าเจออะไร ก็คิดอยู่ตั้งนาน ก็บอกไม่เห็นเจออะไรเลย ท่านบอกว่าจับดูอีกทีสิคะ เจอแน่ๆ เลย ก็จับอย่างเสียไม่ได้ พอจับเสร็จ ท่านอาจารย์ก็ถามว่า ตกลงเจออะไรมั้ยคะ ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากแข็ง เย็น ท่านอาจารย์ก็บอกว่า นั่นแหละคือธรรม เราก็ว่า โห แข็ง กับ เย็น จะเป็นธรรมได้อย่างไร ก็ฉุนในใจ ไม่พอใจท่านอาจารย์มาก ว่าตอบอย่างนี้ อะไรอย่างนั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อน ท่านอาจารย์ก็พูดอธิบายให้ฟังเลยว่า แข็ง เย็น เป็นรูปธรรม เป็นรูปธรรมอย่างไร แล้วก็ไปจนถึงนามธรรม แล้วก็แยกแยะ พอฟังเสร็จแล้วรู้สึกว่า ขนลุกซู่มากเลยว่า นี่คือความจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้มาก่อน แล้วเป็นอะไรที่เราไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่ความจริง เพราะจับแล้วมันก็มีแค่แข็ง กับ เย็น ไม่มีอะไรอย่างอื่น แล้วก็ไม่รู้อะไรอย่างนี้ ก็เลยประทับใจท่านอาจารย์ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ๓๐ กว่าปีแล้ว ก็ต้องกราบอนุโมทนาคุณไอแว่นผู้เป็นสามีที่เป็นคนพามาพบกับท่านอาจารย์ คือในชีวิตของเขาเป็นคนที่มีบุญมากเลย ที่จะมาเจอ ได้มาฟังธรรมที่ตรง ชัดที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่า คือธรรมอย่างนี้ มีแต่ละอย่างๆ ลงลึกลงไปจริงๆ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม นี่เผินไม่ได้เลย ต้องศึกษาโดยเฉพาะในขั้นต้น จะต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่านาม รูป เป็นอย่างไร จิต เจตสิก เป็นอย่างไร แล้วค่อยๆ ไปทีละนิดๆ จะไปผลีผลาม ต้องการที่จะเป็นอย่างนู้น อย่างนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ กราบขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แทนที่จะตอบ ควรที่จะให้คนนั้นเข้าใจด้วยความคิดของตนเอง จนกระทั่งไม่ต้องถามใครอีกแล้ว ว่าธรรมะคืออะไร เพราะว่ารู้จักธรรม แต่ถ้าเพียงตอบเอง เขาก็ยังสงสัย เพราะว่ายังไม่รู้ว่า ทุกขณะสิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่ปรากฏ เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง
ไม่ทราบว่าเพื่อนที่พามาเมื่อวานนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ เพื่อนคุณอาชิตา
ผู้ฟัง เขาก็ยังงๆ อยู่ค่ะ ก็ได้ให้หนังสือปรมัตถธรรมที่เป็นภาษาอังกฤษแก่เขา
ท่านอาจารย์ การสนทนาธรรมไม่ใช่การพูดส่วนตัวเพียง ๒ คน เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรม ก็จะได้รับฟังความเห็นของคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง โดยเฉพาะคนใหม่ๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำที่กล่าวถึงความจริง ที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้น คำไหนที่ได้ยินบ่อยๆ และคิดว่าเข้าใจ คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะว่า คำที่ไม่เคยได้ยินต่างหากที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น แข็ง เย็น ร้อน เห็น เสียง เป็นสิ่งที่มีจริง เขาจะไม่ได้ยินคำนี้ ใช่ไหมคะ เขาก็จะได้ยินเรื่องราวต่างๆ มากมายเป็นชื่อต่างๆ และเข้าใจว่ากำลังศึกษาธรรมะ แต่โดยนัยนั้นเขาจะไม่รู้จัก สภาพ หรือภาวะ หรือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นตัวธรรมแท้ๆ ที่กำลังมีในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดของการที่มีชีวิตไม่นานทุกคน คือว่าก่อนที่จะจากโลกนี้ไปซึ่งเกิดมาแล้วสุขสบายบ้าง ทุกข์บ้าง แต่มีอะไรที่จะติดตามไปสักอย่างเดียวก็ไม่ได้ สิ่งที่เล็กที่สุด เส้นผมเส้นเดียว ก็เอาไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงทรัพย์สมบัติ เกียรติยศอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ ได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงเกิดมาไม่มีสาระ มีแต่สิ่งที่ทำให้ติดข้อง เเล้วก็ไม่สามารถที่จะสละละความติดข้องนั้นได้เลย ถ้าไม่มีการเริ่มรู้เริ่มเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วแต่ละขณะไม่ว่าในชาติไหน โลกไหน ที่ไหน ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถจะเข้าใจได้ เมื่อเป็นผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง แล้วก็ได้เข้าใจด้วย
ที่มา ...