เตลุกานิเถรคาถา เราถูกผูกด้วยบ่วงใหญ่ คือ กิเลส*


    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔

    เตลุกานิเถรคาถา

    ข้อ ๓๘๗ ท่านพระเตลุกานิเถระได้กล่าวคาถา มีข้อความว่า

    เรามีความเพียรค้นคิดธรรมอยู่นาน ก็ไม่ได้ความสงบใจ ...

    ทุกคนเร่าร้อน และไม่สงบใจอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม บางคนพากันไปแสวงหาว่า ทำอย่างไรจิตใจจะสงบ มีข้อปฏิบัติอะไรที่ทำให้สงบได้ แต่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง จริงๆ ว่า ความสงบจริงๆ นั้น จะมีได้เมื่อปัญญาเกิดขึ้นเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมตามความเป็นจริงในเรื่องของกุศล ในเรื่องของอกุศล ในเรื่องของกรรม ในเรื่องของวิบาก แม้ในเรื่องของยุคสมัย เช่น กาลสมบัติหรือกาลวิบัติต่างๆ ซึ่ง ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดทุกประการ ใครๆ ย่อม ไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น แม้ท่านพระเตลุกานิเถระท่านก็ได้กล่าวว่า

    เรามีความเพียรค้นคิดธรรมอยู่นาน ก็ไม่ได้ความสงบใจ จึงได้ถาม สมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า ใครหนอในโลกเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ใครเล่าเป็นผู้ได้บรรลุธรรมอันหยั่งลงสู่อมตะ เราจักปฏิบัติธรรมของใครซึ่งเป็นเครื่องให้รู้แจ้งปรมัตถ์ เราเป็นผู้ มีความคด คือ กิเลสอันไปแล้วในภายใน เหมือนปลาที่กินเหยื่อฉะนั้น

    ต้องเป็นผู้มีปัญญาถึงจะรู้ตัวว่า ขณะที่กำลังปรารถนารูป อยากได้เสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้โผฏฐัพพะต่างๆ ทุกขณะนั้นเหมือนปลาที่กินเหยื่อ แต่ถ้าไม่พิจารณา ย่อมกินเหยื่ออย่างเพลิดเพลิน เอร็ดอร่อย

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่พิจารณาธรรม ย่อมเห็นอวิชชาของตนเอง คือ เห็นความไม่รู้ของตนเองที่ทำให้ยังมีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ทุกๆ วัน ก็เหมือนกับการกินเหยื่อทุกวัน ซึ่งจะทำให้เกิดทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ ไม่สิ้นสุด

    บางคนบอกว่า กินเหยื่อก็อ้วนพีดี เพราะฉะนั้น ก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปเรื่อยๆ ทุกขณะที่มีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    ท่านพระเตลุกานิเถระกล่าวว่า

    เราถูกผูกด้วยบ่วงใหญ่ คือ กิเลส เหมือนท้าวเวปจิตติอสูร ถูกผูกด้วยบ่วงของท้าวสักกะฉะนั้น เรากระชากบ่วงคือกิเลสนั้นไม่หลุด จึงไม่พ้นไปจากความโศก และความร่ำไร ใครในโลกจะช่วยเราผู้ถูกผูกแล้วให้หลุดพ้น ประกาศทาง เป็นเครื่องตรัสรู้ให้เรา เราจะรับสมณะหรือพราหมณ์คนไหนไว้เป็นผู้แสดงธรรมอันกำจัดกิเลสได้ จะปฏิบัติธรรมเครื่องนำไปปราศจากชรา และมรณะของใคร

    นี่คือผู้ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบจริงๆ ที่กล่าวว่า ใครในโลกจะช่วยเรา ผู้ถูกผูกแล้วให้หลุดพ้น ประกาศทาง เป็นเครื่องตรัสรู้ให้เรา

    ไม่ใช่ต้องการให้บอกว่าปฏิบัติอย่างไร ให้นั่งอย่างไร ให้เดินอย่างไร ให้นอนอย่างไร แต่ต้องการผู้ที่ประกาศทาง เป็นเครื่องตรัสรู้ ถ้าเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ ให้สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง จึงจะปราศจากชรา และมรณะได้ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่รู้ ท่านพระเตลุกานิเถระท่านก็ ไม่ปรารถนาข้อปฏิบัติ และหนทางนั้น

    ท่านพระเตลุกานิเถระกล่าวต่อไปว่า

    จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย ประกอบด้วยความแข่งดีเป็นกำลัง ฉุนเฉียว ถึงความเป็นจิตกระด้างด้วยใจ

    ทุกท่านจะพิจารณา และเห็นกิเลสของตนเองอย่างท่านพระเตลุกานิเถระไหม หรือวันหนึ่งๆ ไม่เคยเห็นเลยว่า มีความลังเลสงสัย มีความแข่งดี ฉุนเฉียว และ จิตกระด้างด้วยใจ

    จิตกระด้างด้วยใจ คือ ในขณะที่คิดนึกต่างๆ เห็นแล้วก็คิด ใช่ไหม เปรียบเทียบเป็นเขาเป็นเราในทุกทาง ทำให้เกิดความสำคัญตนขึ้น หรืออาจจะดูหมิ่นคนอื่นก็ได้ ในขณะนั้นก็เป็นจิตที่หยาบกระด้างด้วยใจ คือ ตามความคิดนึกต่างๆ

    เป็นเครื่องรองรับตัณหา สิ่งใดมีธนู คือ ตัณหาเป็นสมุฏฐานมีประเภท ๓๐ เป็นของมีอยู่ในโลก เป็นของหนัก ทำลายหทัยแล้วตั้งอยู่ ขอท่านจงดูสิ่งนั้นเถิด

    ทุกคนมีกิเลส แต่ยังไม่เห็นว่าเป็นของหนัก จนกว่ากิเลสนั้นจะกลุ้มรุม วันหนึ่งวันใด ทำให้มีความกลุ้มใจเป็นกำลัง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโลภะ ในเรื่อง ของโทสะ ในเรื่องของอิสสา ในเรื่องของมัจฉริยะความตระหนี่ต่างๆ ก็แล้วแต่ ในขณะนั้นจึงจะรู้ว่า กระวนกระวาย ซึ่งเป็นขณะที่กิเลสอกุศลเหล่านั้นเป็นของหนัก และทำลายจิตใจด้วยในขณะนั้น ทำให้จิตใจทรุดโทรม ไม่เบิกบานร่าเริง ทำให้ เศร้าหมอง และเป็นทุกข์อยู่นาน ตลอดเวลาที่อกุศลเหล่านั้นครอบงำ

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1525

    ท่านคงเคยได้รับฟังความทุกข์ของคนอื่นบ้าง ใช่ไหม ในขณะนั้นก็ทราบได้ว่า ผู้นั้นกำลังมีความทุกข์ ซึ่งเขาอาจจะปรึกษาท่านหลายเรื่อง และเรื่องที่ปรึกษานั้น ก็ไม่ใช่เพียงวันเดียว เพราะว่าเรื่องแต่ละเรื่องในชีวิตไม่ใช่ว่าจะจบสิ้นไปได้เพียง ในวันเดียว จะต้องมีเรื่องทุกข์ร้อนสืบต่อกันไปแต่ละเรื่องๆ เมื่อจบเรื่องนั้นไม่นานก็จะมีเรื่องอื่นอีก เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เรื่องของความทุกข์ เรื่องของการปรึกษาหารือ แสดงให้เห็นถึงจิตในขณะนั้นที่ถูกครอบงำด้วยอกุศลธรรม ซึ่งควรทำอย่างไร

    ท่านพระเตลุกานิเถระกล่าวว่า

    ขอท่านจงดูสิ่งนั้นเถิด

    เพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่า ในขณะนั้นเป็นอะไร เป็นสภาพจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น และดับไป ต่างกับขณะที่เห็น ต่างกับขณะที่กำลังได้ยิน ต่างกับขณะที่กำลังได้กลิ่น ต่างกับขณะที่กำลังลิ้มรส ต่างกับขณะที่กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เพียงแต่รู้ว่าเป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งต่างกับจิตประเภทอื่นๆ ในวันหนึ่งๆ ก็จะทำให้คลายความเดือดร้อนไปได้ เพราะว่าความทุกข์ความเดือดร้อนนั้นอาศัยจิตที่เกิดคิดขึ้นชั่วในขณะนั้น และเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทางตาที่เห็น ในขณะที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ทางตาปรากฏ ขณะนั้นไม่มีทุกข์ใดๆ เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องราวของกิเลสซึ่งเกิดขึ้นทางใจ และถ้ารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ปัญญาในขณะนั้น จะละคลายอกุศลให้ลดน้อยลง

    ข้อความต่อไป

    ท่านพระเตลุกานิเถระกล่าวว่า

    การไม่ละทิฏฐิน้อยๆ อันลูกศรคือความดำริผิดให้อาจหาญแล้ว ...

    ทิฏฐิน้อยๆ ก็มี ใช่ไหม อยู่ที่ไหนเวลานี้ อะไรเป็นทิฏฐิน้อยๆ

    ผู้ที่ไม่ใช่พระโสดาบันบุคคลมีสักกายทิฏฐิ ซึ่งไม่เป็นโทษร้ายแรงเท่ากับทิฏฐิอื่นซึ่งเห็นผิดว่ากรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี เป็นต้น เพราะฉะนั้น การไม่ละทิฏฐิน้อยๆ อันลูกศรคือความดำริผิดให้อาจหาญแล้ว

    มีความเห็นผิดว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน และยังมีความดำริผิด คือ วิตกเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทำให้เกิดดำริผิด เป็นอกุศลธรรมเกิดขึ้นในขณะนั้น ในวันหนึ่งๆ ที่ว่าอกุศลจิตเกิดมาก ขณะนั้นต้องมีอกุศลเจตสิก คือ ความคิดต่างๆ ในทางที่ผิดเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ

    การไม่ละทิฏฐิน้อยๆ อันลูกศรคือความดำริผิดให้อาจหาญแล้ว เราถูกยิงด้วยลูกศรคือทิฏฐินั้น หวั่นไหวอยู่ เหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดฉะนั้น กรรมอันลามกตั้งขึ้นแล้วในภายในของเราย่อมพลันให้ผล กายอันเนื่องด้วยสัมผัส ๖ เกิดแล้วในที่ใด ย่อมแล่นไปในที่นั้นทุกเมื่อ

    แม้แต่คาถาของท่านพระเถระ ก็เป็นเรื่องชีวิตประจำวันที่แสดงให้เห็นสภาพ ของจิตก่อนที่ท่านจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ จะต้องมีความละเอียดที่จะรู้เรื่องของอกุศลที่ทุกคนมีในวันหนึ่งๆ ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ ว่า เป็น อกุศลธรรมประเภทไหน และมากอย่างไร เพราะว่าขณะใดที่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ย่อมแล่นไปในที่นั้นทุกเมื่อ ใจ ห้ามไม่อยู่ที่จะเป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ตามอารมณ์ที่ปรากฏนั้นๆ และอารมณ์ก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมก็ต้องมาก

    ท่านกล่าวต่อไปว่า

    เราไม่เห็นหมอผู้ที่จะถอนลูกศรของเราได้เลย หมอไม่สามารถจะเยียวยาเรา ด้วยศาตราอย่างอื่นต่างๆ ชนิด

    ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ อายุรแพทย์ หรือศัลยแพทย์ ก็ไม่สามารถเยียวยา และถอนลูกศรคือกิเลสออกได้ นอกจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้แล้ว

    ท่านกล่าวต่อไปว่า

    ใครไม่ต้องใช้ศาตรา ไม่ทำให้ร่างกายเราเป็นแผล ไม่เบียดเบียนร่างกายเราทั้งหมด จักถอนลูกศรอันเสียบอยู่ภายในหทัยของเราออกได้ ก็บุคคลนั้นเป็นใหญ่ ในธรรม เป็นผู้ประเสริฐ ลอยโทษอันเป็นพิษเสียได้ ช่วยยกเราผู้ตกไปในห้วงน้ำ คือ สงสารอันลึก ขึ้นสู่บกได้

    ผ่าตัดกิเลสนี่ ไม่สำเร็จ ใช่ไหม นอกจากพระธรรม ที่เมื่อได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วย โดยที่ไม่ทำให้ร่างกายเป็นแผล ไม่เบียดเบียนร่างกายเลย สามารถที่จะถอนลูกศรที่เสียบอยู่ในใจของทุกคนออกได้

    ทุกครั้งที่เห็น มีลูกศรแล้ว เจ็บไหม ไม่เจ็บ เพราะไม่รู้ แต่ความจริงถ้ามี ความกระวนกระวายนิดหนึ่งที่เกิดเพราะความปรารถนา เพราะความพอใจ ขณะนั้น ไม่สงบ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะถ้าสุขจริง สงบจริง ไม่ต้องการอะไร แต่เมื่อ ยังต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ ยังเพลิดเพลินพอใจในสิ่งที่ปรากฏอยู่ ย่อมแสดงว่า ในขณะนั้น ไม่สงบเลย เพราะถ้าสงบจริงๆ จะไม่ต้องการรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ ทั้งสิ้น

    ข้อความต่อไป ท่านกล่าวว่า

    เราเป็นผู้จมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่ อันเป็นที่สุดแห่งธุลี เป็นห้วงน้ำลาดไปด้วยมายา ริษยา ความแข่งดี และความง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีใครจะนำออกได้ ความดำริทั้งหลายอันอาศัยซึ่งราคะ เป็นเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ มีเมฆ คือ อุทธัจจะ เป็นเสียงคำรน มีสังโยชน์เป็นฝน ย่อมนำบุคคลผู้มีความเห็นผิดไปสู่สมุทร คือ อบาย

    เวลาน้ำท่วมกลัวมาก ใช่ไหม เวลาที่น้ำป่าพัดมาอย่างแรง ทุกคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กิเลสพัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไหลไปสู่สมุทร คือ อบาย ได้

    กระแสตัณหาทั้งหลายย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาเพียงดังเถาวัลย์เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ ใครจะพึงกั้นกระแสตัณหาเหล่านั้นได้ ใครเล่าจะตัดตัณหาอันเป็นดังเถาวัลย์นั้นได้

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงทำฝั่งอันเป็นเครื่องกั้นกระแส ตัณหาเหล่านั้นเถิด อย่าให้กระแสตัณหาอันเกิดแต่ใจ พัดท่านทั้งหลายไปเร็วพลัน ดังกระแสน้ำพัดต้นไม้อันตั้งอยู่ริมฝั่งฉะนั้น

    พระศาสดาผู้มีอาวุธ คือ ปัญญา ผู้อันหมู่ฤๅษีอาศัยแล้ว เป็นที่พึ่งแก่เรา ผู้มีภัยเกิดแล้ว ผู้แสวงหาฝั่ง คือ นิพพาน จากที่มิใช่ฝั่ง พระองค์ได้ทรงประทานบันไดอันนายช่างทำดีแล้ว บริสุทธิ์ ทำด้วยไม้แก่น คือ ธรรม เป็นบันไดมั่นคงแก่เราผู้ถูกกระแสตัณหาพัดไปอยู่ และได้ตรัสเตือนเราว่า อย่ากลัวเลย เราได้ขึ้นสู่ปราสาท คือ สติปัฏฐานแล้ว พิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้ยินดีในร่างกายของตนที่เราได้สำคัญในกาลก่อนโดยเป็นแก่นสาร ก็เมื่อใดเราได้เห็นทางอันเป็นอุบายขึ้นสู่เรือ เมื่อนั้นเรา จักไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน ได้เห็นท่า คือ อริยมรรคอันอุดม พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางอันสูงสุดเพื่อไม่ให้บาปธรรมทั้งหลายมีทิฏฐิ และมานะเป็นต้น ซึ่งเป็นดังลูกศร เกิดในตน เกิดแต่ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าทรงกำจัดโทษ อันเป็นพิษได้ ทรงบรรเทากิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันตั้งอยู่แล้วในใจของเราตลอดกาลนาน

    เพราะฉะนั้น ทุกท่านต้องเห็นอกุศลของตัวเองก่อน และยิ่งเห็นละเอียดขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์ มากกว่าที่จะรู้ว่าได้ทำกุศลไว้มากเท่าไร เพราะถ้ารู้ว่าทำ กุศลไว้มากเท่าไรโดยที่ไม่พิจารณาอกุศลของตนเอง จะไม่รู้เลยว่า อกุศลมากกว่ากุศลที่ได้ทำไว้แล้วมาก เพราะฉะนั้น ทำกุศลเท่าไรก็ยังไม่พอ และถ้ารู้ว่ามีอกุศลมากเท่าไร ก็เป็นผู้ตรงจริงๆ ว่า อกุศลประเภทใดมีมากมีน้อย และน่ารังเกียจแค่ไหน ซึ่งกิเลส และโทษภัยของกิเลสเป็นสิ่งที่เห็นยาก อย่างโลภะ รู้ว่าไม่ดี เป็นกิเลส แต่การที่จะ เห็นโทษเห็นภัยของโลภะนี่ ยากจริงๆ

    และการดับกิเลส ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้นๆ ต้องพิจารณาธรรมในชีวิตประจำวันโดยทั่ว และโดยตลอด แม้จะไม่ใช่ในขณะที่สติเกิดระลึกลักษณะ ของสภาพธรรม แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ไว เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่า ในวันหนึ่งๆ กุศลเกิดขณะใด มีอกุศลแทรกหรือเปล่า หรือในขณะที่กำลังเป็นอกุศลนั้น มีกุศลเกิดขึ้นระลึกลักษณะสภาพที่เป็นอกุศลในขณะนั้นบ้างหรือเปล่า และการเห็นโทษ ไม่ใช่เห็นเพียงโทษของกิเลส แต่ต้องเห็นแม้โทษของกุศลวิบาก คือ ผลของบุญ ผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็น สิ่งที่เห็นยาก เนื่องจากบางท่านทำกุศลเพราะหวังผลของกุศล และบางท่านเพราะกลัวผลของอกุศลจึงทำกุศล เพื่อจะได้ผลของบุญนั้นๆ แต่ผู้ที่มีปัญญาต้องเห็นแม้โทษ ของผลของกุศลด้วย เพราะถ้าไม่เห็นโทษของผลของกุศล จะไม่สามารถละความติด ความพอใจในผลของบุญนั้นๆ ได้


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1526


    หมายเลข 13097
    18 ก.ย. 2567