พระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ก่อนที่จะถึงอนุสสติประการอื่นต่อจากพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ขอกล่าวถึงข้อความในพระไตรปิฎก ซึ่งจะทำให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาสีหนาทสูตร ข้อความบางตอนมีว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ราวป่าด้านตะวันตกนอกพระนครเขตพระนครเวสาลี ก็โดยสมัยนั้นแล สุนักขัตตลิจฉวีบุตรเป็นผู้หลีกไปแล้วจากธรรมวินัยนี้ไม่นาน สุนักขัตตลิจฉวีบุตรนั้นได้กล่าววาจาในบริษัท ณ เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า

    ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะของพระสมณโคดมไม่มี พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลด้วยความตรึก ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด แจ่มแจ้งได้เอง แต่ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อประโยชน์ใด ธรรมนั้นย่อมดิ่งไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งบุคคลผู้ทำตาม

    สมัยนี้คนที่คิดอย่างสุนักขัตตลิจฉวีบุตรคงจะมีมากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดย่อมไม่ทราบว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นเพื่อให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม คือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงในขณะนี้ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัติเป็นเพียงกุศลขั้นทาน หรือขั้นศีล หรือขั้นความสงบ บุคคลนั้นก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์ถึงพระปัญญาคุณที่ได้ทรงอบรมบารมีเพื่อประจักษ์สภาพธรรมที่เป็นอริยสัจ ที่ไม่เที่ยง ที่เป็นทุกข์ ที่กำลังเกิดดับ ที่เป็นอนัตตาในขณะนี้ ตามปกติตามความเป็นจริง

    บางท่าน อย่างเช่น สุนักขัตตลิจฉวีบุตร มีศรัทธาที่จะบวชในพระธรรมวินัย แต่เมื่อไม่ประจักษ์ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กำลังไม่เที่ยง กำลังเกิดดับในขณะนี้ สุนักขัตตลิจฉวีบุตรก็เข้าใจว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นเกิดจากการเพียงค้นคิด ไตร่ตรอง ตรึกตรอง แต่ว่าเป็นประโยชน์ คือ เมื่อผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามแล้ว ก็สามารถสิ้นทุกข์

    และบางท่านอาจจะเข้าใจว่า เวลาที่มีความทุกข์ ฟังพระธรรมแล้วก็หมดทุกข์ ปลดเปลื้องทุกข์ไป เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง มีประโยชน์เพียงเพื่อให้สิ้นทุกข์ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว พระธรรมที่ทรงแสดงโดยการตรัสรู้นั้น ทรงแสดงถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง เพื่อให้รู้แจ้งในความเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ และสามารที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ครั้งนั้นแลเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวรเข้าไปในเมือง เวสาลีเพื่อบิณฑบาต ท่านได้สดับข่าวว่า สุนักขัตตลิจฉวีบุตรได้กล่าววาจาเช่นนั้นในบริษัท ณ เมืองเวสาลี ... ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรเที่ยวไปในเมืองเวสาลีเพื่อบิณฑบาตแล้ว กลับจากบิณฑบาต ในเวลาปัจฉาภัต จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ...

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร สุนักขัตตลิจฉวีบุตรเป็นบุรุษเปล่า มักโกรธ และวาจาที่เธอกล่าวนั่น ก็เพราะโกรธ ดูกร สารีบุตร สุนักขัตตะนั้นเป็นบุรุษเปล่า คิดว่าจักพูด ติเตียน แต่กล่าวสรรเสริญคุณของตถาคต แท้จริงข้อนี้เป็นคุณของพระตถาคตที่บุคคลใดกล่าวอย่างนี้ว่า ธรรมอันพระตถาคตแสดงเพื่อประโยชน์แก่บุคคลใด เป็นทางสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งบุคคลผู้ทำตาม ดังนี้

    บางท่านมีความแยบยลของกิเลสอกุศล อยากจะกล่าวติ แต่เพราะความฉลาด ไม่ให้รู้ว่ากล่าวติ ก็ทำเป็นสรรเสริญ แต่ว่าตามความเป็นจริง มีเจตนามุ่งหมายที่จะให้รู้ว่าเป็นการกล่าวติ ซึ่งสำหรับสุนักขัตตะนี้ คำพูดที่สุนักขัตตะกล่าวนั้น แท้จริงเป็นคุณของพระตถาคตที่ว่า ธรรมอันพระตถาคตแสดงเพื่อประโยชน์แก่บุคคลใด เป็นทางสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งบุคคลผู้ทำตาม ดังนี้

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร ก็การที่สุนักขัตตะผู้เป็นบุรุษเปล่ากล่าวสรรเสริญนี้ จักไม่เป็นความรู้โดยธรรมในเราว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็น พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้

    สังเกตพยัญชนะที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็การที่สุนักขัตตะผู้เป็นบุรุษเปล่ากล่าวสรรเสริญนี้ จักไม่เป็นความรู้โดยธรรม เพราะว่าสุนักขัตตลิจฉวีบุตรผู้เป็น บุรุเปล่า ไม่เข้าใจในอรรถของคำว่า ธรรม ซึ่งหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏเพราะเหตุปัจจัยตามปกติ

    ถ้าผู้ใดเข้าใจอรรถของธรรม เวลาที่ฟังพระธรรมย่อมรู้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก ความสุข ความทุกข์ ความชอบ ความไม่ชอบ สภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มีลักษณะจริงๆ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะฉะนั้น เวลาที่บุคคลนั้นเข้าใจในอรรถของคำว่าธรรม ก็ย่อมฟังธรรม และเข้าใจธรรม ซึ่งก็คือ ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้

    แต่เมื่อไม่มีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ การที่จะสรรเสริญพระผู้มีพระภาค ก็ไม่ใช่โดยความเข้าใจธรรม หรือโดยธรรม ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็การที่สุนักขัตตะผู้เป็นบุรุษเปล่ากล่าวสรรเสริญนี้ จักไม่เป็นความรู้โดยธรรม ก็เพราะว่าไม่ได้รู้อรรถของธรรม

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร ก็การที่สุนักขัตตะผู้เป็นบุรุษเปล่ากล่าวสรรเสริญนี้ จักไม่เป็นความรู้โดยธรรมในเราว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้

    นี่คือพุทธานุภาพซึ่งเป็นส่วนน้อยมากที่กล่าวถึง เพราะว่าไม่มีบุคคลใดสามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ยิ่งกว่าพระองค์ น่าอัศจรรย์ น่าเป็นไปได้ หรือว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ สำหรับสมัยนี้ มีคนที่ลูบคลำพระจันทร์ได้ไหม ไม่ยากแล้วใช่ไหมในการที่จะไปลูบคลำพระจันทร์ แต่ว่าสำหรับพระผู้มีพระภาค ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้

    สำหรับผู้ที่อบรมเจริญฌานสมาบัติจนกระทั่งมีความชำนาญมาก จะสามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ตามที่กล่าวแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดที่สามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้เสมอกับพระผู้มีพระภาค

    ถ. ที่ดำดิน ดำอยู่นานๆ ได้ไหม ปกติผู้ที่ดำน้ำก็ต้องหายใจ เพราะในน้ำนี้หายใจไม่ได้ ถ้าดำดินนานๆ ไม่ต้องหายใจหรือ

    สุ. หมายถึงใคร

    ถ. ทุกคน

    สุ. เว้นใครบ้างหรือเปล่า

    ถ. ไม่มี

    สุ. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เว้นไหม

    ถ. พระองค์ก็ต้องหายใจด้วยเหมือนกัน

    สุ. การหายใจหรือการไม่หายใจนี้ ผู้ที่เจริญฌานสมาบัติถึงขั้นฌานที่ ๔ หรือฌานที่ ๕ โดยปัญจกนัย ไม่มีลมหายใจ เพราะว่าจิตละเอียดมาก มีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องหายใจ

    ถ. ท่านจะต้องออกจากจตุตถฌานก่อน จึงจะดำดินไม่ใช่หรือ

    สุ. สำหรับความชำนาญในฌานสมาบัติของพระผู้มีพระภาค ในอรรถกถาแสดงว่า ในขณะที่ทรงแสดงธรรม และประชาชนสาธุการนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าผลสมาบัติ เวลาที่คนสาธุการจบ ก็ออกจากสมาบัติ และทรงแสดงธรรมต่อ หรือขณะที่หายใจเข้า เข้าด้วยสมาบัติหนึ่ง หายใจออก ออกด้วยสมาบัติหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ควรคิดเปรียบเทียบพระผู้มีพระภาคกับบุคลใดๆ เลยทั้งสิ้น

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 787


    หมายเลข 13146
    29 ก.ย. 2567