พระกุมารกัสสปะ บรรลุเป็นพระอรหันต์ อย่างไร


    ท่านพระกุมารกัสสปะเป็นเอตทัคคะซึ่งเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลายในการกล่าวธรรมได้อย่างวิจิตร ซึ่งก็น่าสนใจในการที่ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ว่า ท่านอาศัยพฤติกรรมอย่างไร ปัญญาที่ท่านได้สะสมมาแล้วในชาติก่อนๆ จึงทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งข้อความใน วัมมิกสูตร ข้อ ๒๘๙ มีว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยนั้นท่านพระกุมารกัสสปะพำนักอยู่ที่ป่าอันธวัน ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงามยิ่ง

    คือ พรหมชั้นสุทธาวาสซึ่งเป็นสหายของท่านในครั้งก่อนนั่นเอง

    เมื่อราตรีล่วงปฐมยามแล้วยังป่าอันธวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะ ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระกุมารกัสสปะว่า

    ดูกร ภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลัก ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกลิ่มสลักขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นอึ่ง จึงเรียนว่า อึ่ง ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกอึ่งขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่า ทาง ๒ แพร่ง ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาสตรา ขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง จึงเรียนว่า หม้อกรอง น้ำด่าง ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้น เอา ศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นเต่า จึงเรียนว่า เต่า ขอรับ

    คนชอบเต่าอาจจะดีใจ ได้เห็นเต่า

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเต่าขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดดู ได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ จึงเรียนว่า เขียงหั่นเนื้อ ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้น เอาศาสตรา ขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียนว่า ชิ้นเนื้อ ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นนาค จึงเรียนว่า นาค ขอรับ

    พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่ เจ้าอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำความนอบน้อมต่อนาค

    ดูกร ภิกษุ ท่านพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามปัญหา ๑๕ ข้อ เหล่านี้แล ท่านพึงทรงจำปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ ดูกร ภิกษุ ข้าพเจ้าไม่เห็นบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ที่จะยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟังจากสำนักนี้

    เทวดานั้นครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ได้หายไปในที่นั้นแล

    บางคนฟังแล้ว ไม่สนใจเลย ใช่ไหม ไม่น่าสนใจ ขุดลงไปๆ และเห็นอะไรๆ ดูเหมือนกับว่า ไม่มีความหมายเลย แต่สำหรับผู้มีปัญญาสามารถที่จะพยากรณ์ปัญหาทั้งหมดออกเป็นชีวิตประจำวัน และเป็นสภาพธรรมตามปกติ ซึ่งผู้มีปัญญาสามารถที่จะเข้าใจ ระลึก และศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงได้

    แสดงให้เห็นว่า ปัญหาธรรมเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพียงแต่ว่าบุคคลอื่นซึ่งไม่รู้ ก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้

    ท่านพระกุมารกัสสปะ เมื่อราตรีนั้นล่วงไปแล้ว ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

    ... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลชื่อว่าจอมปลวก อย่างไรชื่อว่าพ่นควัน ในกลางคืน อย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน อะไรชื่อว่าพราหมณ์ อะไรชื่อว่าสุเมธะ อะไรชื่อว่าศาสตรา อะไรชื่อว่าการขุด อะไรชื่อว่าลิ่มสลัก อะไรชื่อว่าอึ่ง อะไรชื่อว่าทาง ๒ แพร่ง อะไรชื่อว่าหม้อกรองน้ำด่าง อะไรชื่อว่าเต่า อะไรชื่อว่าเขียงหั่นเนื้อ อะไรชื่อว่าชิ้นเนื้อ อะไรชื่อว่านาค ดังนี้

    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า

    ดูกร ภิกษุ คำว่า จอมปลวก นั่นเป็นชื่อของกายนี้ อันประกอบด้วย มหาภูตรูปทั้ง ๔ ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุก และขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องอบรม ต้องนวดฟั้น มีอันทำลาย และกระจัดกระจายเป็นธรรมดา

    ไม่ได้อยู่ไกลเลย ไม่ได้อยู่ในป่า แต่ที่กายของทุกคนเป็นจอมปลวก รู้สึกว่า กายเหมือนจอมปลวกไหม

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    อนึ่ง สัตว์เล็กๆ มีประการต่างๆ ภายในจอมปลวก

    ถ้ายังไม่รู้สึกว่าร่างกายของทุกคนเป็นจอมปลวก ก็ขอให้นึกสภาพของ จอมปลวกจริงๆ ซึ่งมีสัตว์เล็กๆ หลายอย่างภายในจอมปลวก

    สัตว์เหล่านั้นอาศัยจอมปลวกเกิด ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนป่วย และย่อมตายตกไปในจอมปลวกนั้นนั่นเอง ดังนั้น จอมปลวกนั้นจึงเป็นเรือนเกิด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เล็กๆ เหล่านั้น ฉันใด กายแม้ของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้นก็ฉันนั้น

    ไม่มีความต่างกันเลย เมื่อขึ้นชื่อว่า กาย

    เหล่าสัตว์ที่อาศัยผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก มิได้คิดว่า กายนี้ถูกคุ้มครองรักษาแล้ว ประดับตบแต่งแล้ว เป็นกายของผู้มีอานุภาพใหญ่

    ถ้าเอาร่างกายของเราไปขยาย ส่องด้วยกล้องที่จะให้เห็นละเอียด แม้แต่ที่ ขนตาก็จะเห็นว่า อาจจะมีสัตว์บางชนิด หรือเชื้อโรคบางอย่างอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์ที่อาศัยผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไม่ได้คิดเลยว่า กายนี้ถูกคุ้มครองรักษาแล้ว ประดับตบแต่งแล้ว และไม่คิดด้วยว่า เป็นกายของผู้มีอานุภาพใหญ่ เพราะแม้เป็นกายของกษัตริย์มหาศาลก็เช่นเดียวกัน

    รวมความว่า หมู่หนอนย่อมเกิด ย่อมถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอน กระสับกระส่ายเพราะความป่วยไข้ ตายตกอยู่ในกายนี้เอง เหตุนั้นจึงนับได้ว่า เป็นจอมปลวก ... พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกร ภิกษุ คำว่า วัมมิกะนี้ เป็นชื่อของกายนี้ ที่เกิดจากมหาภูตทั้ง ๔

    ไม่ค่อยจะได้พิจารณาถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อยู่ในร่างกาย เชื้อโรคต่างๆ

    ข้อความต่อไป

    ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่าพ่นควันในกลางคืนนั้น ดูกร ภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลขมักเขม้นการงานในกลางวัน แล้วตรึกถึงตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน

    ท่านที่มีงานเยอะ กลางวันขมักเขม้นทำก็ยังไม่เสร็จ กลางคืนไม่ได้ทำงานนั้น เพราะว่าเป็นช่วงกลางคืน แต่ถึงกระนั้นก็ยังตรึกยังตรองถึงกิจการงานเหล่านั้น เหมือนกับพ่นควันในกลางคืน

    คืนนี้ สังเกตดู ท่านที่มีงานมากๆ และคิดถึงเรื่องงาน ในขณะนั้นให้ทราบว่า พ่นควันในกลางคืน

    ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวันนั้น ดูกร ภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลตรึกถึงตรองถึงการงานในกลางคืน แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวัน ด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน

    ตอนกลางคืนได้แต่คิดเรื่องงานว่า จะทำอะไรบ้าง เมื่อถึงกลางวันจริงๆ ลุกโพลงในกลางวัน เพราะว่าต้องอาศัยกาย อาศัยวาจาในการประกอบการงาน ในกลางวัน เพราะฉะนั้น ก็ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน

    ดูกร ภิกษุ คำว่า พราหมณ์นั้น เป็นชื่อของพระตถาคตอรหันตสัมมา- สัมพุทธเจ้า คำว่า สุเมธะนั้น เป็นชื่อของเสขภิกษุ

    คือ ผู้ที่ยังศึกษาอยู่เพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    คำว่า ศาสตรานั้น เป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ คำว่า จงขุดนั้น เป็นชื่อของการปรารภความเพียร

    ต้องอาศัยศาสตรา คือ ปัญญา และต้องอาศัยความเพียรขุด จึงจะพบธรรม สามารถที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้

    คำว่า ลิ่มสลักนั้น เป็นชื่อของอวิชชา

    ซึ่งข้อความในอรรถกถาอธิบายว่า

    เมื่อประตูพระนครปิด ใส่ลิ่มสลัก มหาชนก็ขาดการไป คนที่อยู่ในพระนคร ก็ออกไม่ได้ คนที่อยู่นอกพระนครก็เข้าไม่ได้

    ถ้ายังมีลิ่มสลักติดอยู่ ไม่เอาลิ่มสลักออก ทุกคนก็ยังจมอยู่ในอวิชชา ยังไม่สามารถออกไปจากอวิชชาได้ เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญามีความเพียรจึงเห็นอวิชชา รู้ว่าแม้สภาพธรรมกำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ขณะใดที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเพราะอะไร ก็เพราะอวิชชาไม่สามารถ รู้ความจริงของสภาพธรรมได้

    แต่ก่อนนี้อาจจะสงสัยว่า อวิชชาอยู่ที่ไหน พูดถึงแต่อวิชชาๆ วันหนึ่งๆ อวิชชาอยู่ที่ไหนบ้าง แต่ผู้ที่มีปัญญาสามารถรู้ได้ว่า ขณะที่กำลังเห็น และไม่รู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ที่ไม่รู้อย่างนั้นก็เพราะอวิชชา เวลาที่มีความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น มีความยินดีพอใจเกิดขึ้นจนไม่รู้ว่าแม้ขณะนั้นก็มีอวิชชา ในขณะที่กำลังสนุก ในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน ในขณะที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยความพอใจรื่นเริงที่เป็นโลภะ ขณะนั้นก็มีอวิชชาเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ข้อความที่ว่า จงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกลิ่มสลักขึ้น คือ จงละอวิชชาเสีย ก็ไม่ง่ายเลยในการที่จะยกลิ่มสลักคืออวิชชาได้ เพราะฉะนั้น ต้องขุดไปอีก

    คำว่า อึ่งนั้น เป็นชื่อแห่งความคับแค้น ด้วยอำนาจความโกรธ

    เวลาที่ไม่โกรธ จะไม่รู้สึกว่าชีวิตคับแค้น ถ้ากำลังสนุกสนานรื่นเริง ทางตาเห็นสิ่งที่สวยงาม ทางหูได้ยินเสียงที่เพราะ ทางจมูกได้กลิ่นหอม ทางลิ้นได้ลิ้มรสอร่อย ทางกายได้กระทบสัมผัสสิ่งที่สบาย ขณะนั้นโลกรื่นรมย์ จะไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วคับแค้น เพราะฉะนั้น ความคับแค้นของชีวิตจะปรากฏเมื่อมีความโกรธ หรือมี ความเสียใจ ความน้อยใจ ความไม่สบายใจ ความขุ่นเคืองใจ

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1915

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    ในบทว่า อุทฺธูมายิกาติ โข ภิกฺขุ นี้ ขึ้นชื่ออึ่งที่พองขึ้น ไม่ใหญ่ประมาณเท่าหลังเล็บอยู่ในระหว่างใบไม้เก่าๆ ในระหว่างกอไม้หรือระหว่างเถาวัลย์ ถูกปลายไม้ปลายเถาวัลย์หรือละอองฝุ่นเสียดสีขยายออก มีปริมณฑลใหญ่ ขนาดเท่าแว่นมะตูม

    เวลาที่ยังไม่ขยายก็เล็กนิดเดียว ความโกรธ แต่เวลาที่ความโกรธขยายขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกับอึ่งก็จะขยายเท่าแว่นมะตูม

    ๔ เท้าขวักไขว่ในอากาศ ขาดการไป (เดินไม่ได้) ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู เป็นเหยื่อของกา และนกเค้าเป็นต้น ฉันใด ความโกรธนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นคราวแรก ก็เป็นเพียงความขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น

    ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ สามารถรู้ลักษณะต่างๆ กันของความโกรธ เช่น ขณะที่เพียงขุ่นๆ มัวๆ นิดเดียวเอง ขณะนั้นก็มีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า เป็นสภาพของความไม่แช่มชื่น

    ถ้าความขุ่นมัวแห่งจิตนั้นไม่ถูกข่มเสียในขณะนั้น ก็ขยายให้ถึงการหน้านิ้ว คิ้วขมวด ถ้าไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงคางสั่น ถ้าไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการเปล่งวาจาหยาบ เมื่อไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการมองไม่เห็นทิศ เมื่อไม่ ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการยื้อกันมายื้อกันไป ถ้าไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการจับมือ ก้อนดิน ท่อนไม้ และศาสตรา ถ้าไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการประหารด้วยท่อนไม้ และศาสตรา เมื่อไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการฆ่าผู้อื่นบ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความโกรธนี้ฆ่าผู้อื่นแล้ว ฆ่าตนเพียงใด ความโกรธเพียงนี้ก็จะหนาแน่นยิ่งขึ้น กำเริบยิ่งขึ้น

    ในข้อนั้น เมื่อเท้าทั้ง ๔ ของตัวอึ่งขวักไขว่ในอากาศ ก็ขาดการไป (เดินไม่ได้) ตัวอึ่งก็ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู เป็นเหยื่อของสัตว์มีกาเป็นต้น ฉันใด บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจความโกรธก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถจะกำหนดสติปัฏฐานให้เจริญได้ ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู เป็นผู้อันปวงมารพึงทำได้ตามความปรารถนา

    บางคนโกรธผู้ที่มีความเห็นถูก เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีการสอบถามว่า ผิดอย่างไร ถูกอย่างไร เมื่อโกรธเสียแล้วก็ไม่สามารถเจริญปัญญาที่จะมีความรู้ความเข้าใจ ในสภาพธรรมได้

    คำว่า ทาง ๒ แพร่งนั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา

    ซึ่งพราหมณ์กล่าวว่า

    พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตราก่นทาง ๒ แพร่งเสีย คือ จงละวิจิกิจฉาเสีย

    สำหรับทาง ๒ แพร่ง คือ วิจิกิจฉา อุปมาเหมือน

    บุรุษผู้มีทรัพย์ มีโภคะ เดินทางไกลอันกันดารถึงทาง ๒ แพร่ง ไม่อาจตัดสินใจว่า ควรไปทางนี้ หรือไม่ควรไปทางนี้ หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง

    ไม่รู้จะปฏิบัติแบบไหน บางท่านก็มาถึงปัญหาที่ว่า จะอบรมเจริญปัญญาอย่างไร ถ้าไม่สามารถตัดสินได้จริงๆ ว่า ข้อปฏิบัติไหนถูก หนทางปฏิบัติไหนผิด เพราะฉะนั้น บางท่านก็หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง

    เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าโจรปรากฏตัวขึ้นมาก็จะทำให้ผู้นั้นถึงความย่อยยับ ฉันใด ผู้ที่เกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็ไม่อาจที่จะอบรมเจริญปัญญาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ปวงมารมีกิเลสเป็นต้น ย่อมทำภิกษุนั้นให้ถึงความย่อยยับ วิจิกิจฉาจึงเสมอด้วยทาง ๒ แพร่ง

    เพราะฉะนั้น การที่จะละทาง ๒ แพร่งนี้ ก็โดยการเรียน และการสอบถามปัญหาต่างๆ ให้เข้าใจ ให้แจ่มแจ้งชัดเจน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    คำว่าหม้อกรองน้ำด่างนั้น เป็นชื่อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์

    คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือ จงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย

    เรื่องของนิวรณ์ ๕ เป็นเรื่องซึ่งทุกคนมีเป็นประจำ คือ กามฉันทนิวรณ์ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ มีใครไม่มีบ้าง ทุกคนต้องเป็นผู้ตรงที่จะรับว่า ยังเป็นผู้ที่มีความยินดีพอใจอย่างมากในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เมื่อมีความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นกามฉันทนิวรณ์อยู่เนืองๆ บ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยให้มีพยาปาทนิวรณ์ คือ มีความคับแค้นขุ่นเคืองใจเวลาที่ไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา สิ่งที่ต้องการ หรือเวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่ต้องการ

    นอกจากนั้น ยังมีถีนมิทธนิวรณ์ วันหนึ่งๆ ก็มีความท้อใจ มีความท้อแท้ มีความหดหู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความเบิกบาน เข้มแข็ง ร่าเริงในธรรมอยู่ได้เสมอๆ เพราะในบางครั้งมีเหตุที่จะทำให้มีความท้อใจบ้าง มีความท้อแท้บ้าง ซึ่งมีมาก หลายอย่าง เช่น บางท่านเวลาที่อยากจะได้ผลของธรรม พากเพียรทำกุศลมากมาย แต่กิเลสก็ยังมีอยู่มากมาย ก็เริ่มรู้สึกท้อแท้อีกแล้วว่า ทำกุศลก็มาก ทำไมผลของกุศลไม่ได้บ้าง หรือทำไมกิเลสจึงยังมีอยู่เยอะ ทำไมสติไม่เกิดบ่อย ทำไมปัญญา ไม่สามารถรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม แสดงให้เห็นว่า ยังมีกิเลสอยู่ ทำให้เมื่อหวังสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นเหตุให้ท้อแท้หรือว่าท้อถอย

    และมีอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ทุกคนที่ยังมีกิเลส จะต้องมีกายวาจาที่เป็นอกุศลในบางกาล ซึ่งไม่เป็นที่พอใจของตนเอง เพราะฉะนั้น ก็มีความรำคาญใจในอกุศล ที่ได้ทำแล้ว หรือในกุศลที่ยังไม่ได้ทำ ทำให้จิตใจไม่สงบฟุ้งซ่าน ขณะนั้นก็เป็น อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์

    นอกจากนั้น ก็มีวิจิกิจฉานิวรณ์ คือ ความสงสัย ไม่แน่ใจในลักษณะของสภาพธรรม ในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ เป็นต้น

    คำนั้นมีคำอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือ จงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย

    ไม่มีทางอื่นเลย นอกจากปัญญาเท่านั้นที่จะละคลายนิวรณ์ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า จงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือ จงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย

    ข้อความในอรรถกถาอธิบายว่า

    พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปงฺกวารํ ดังต่อไปนี้ เมื่อช่างย้อมใส่น้ำลงใน หม้อกรองน้ำด่าง หม้อน้ำ ๑ หม้อ ๒ หม้อบ้าง ๑๐ หม้อบ้าง ๒๐ หม้อบ้าง ๑๐๐ หม้อบ้าง ก็ไหลออก น้ำแม้ฟายมือเดียวก็ไม่ขังอยู่ ฉันใด กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้ประกอบด้วยนิวรณ์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูกร ภิกษุ คำว่า หม้อกรองน้ำด่างนี้ เป็นชื่อของนิวรณ์ทั้ง ๕

    ถ้ามีหม้อกรองน้ำ ไม่ว่าจะเอาน้ำใส่ลงไปในหม้อกรองน้ำนั้น จะ ๑ หม้อ ๒ หม้อ ๑๐ หม้อ ๒๐ หม้อ ๑๐๐ หม้อ น้ำก็ไหลออกหมดไม่ตั้งอยู่ แม้ฟายมือเดียว น้ำก็ไม่สามารถจะขังอยู่ได้ เพราะฉะนั้น กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้ประกอบด้วยนิวรณ์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน

    ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะทราบได้เลย แม้เพียงชั่วขณะที่ฟังธรรม ขณะนี้ควรที่กุศลจิตจะเกิดอย่างมาก แต่ก็ชั่วขณะ อกุศลก็แทรก ไม่ว่าจะเป็นทางตาหรือทางใจ ทั้งๆ ที่เห็นอย่างนี้ ใจคิดเรื่องอื่นได้ ทั้งๆ ที่กำลังได้ยินอย่างนี้ บางครั้ง ก็คิดอย่างอื่นได้

    แสดงให้เห็นว่า กุศลธรรมของแต่ละบุคคลที่ยังมีนิวรณ์ตั้งอยู่เพียงชั่วขณะเล็กน้อย ขณะใดที่เผลอไป ขณะที่กำลังฟัง และชั่วขณะที่เป็นกุศลดับ อกุศลจิตก็เกิดเพราะนิวรณ์ ๕

    เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายไม่สามารถตั้งอยู่ได้นานสำหรับผู้ที่ยังมีนิวรณ์

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า เต่านั้น เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

    คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกเต่าขึ้นเสีย คือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย

    ขุดไม่ง่ายเลย อกุศลทั้งหลาย

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า กุมฺโม ดังต่อไปนี้ เต่ามีอวัยวะ ๕ คือ เท้า ๔ ศีรษะ ๑ ฉันใด สังขตธรรมทั้งหมด เมื่อรวบรัดก็มีขันธ์ ๕ เท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูกร ภิกษุ คำว่าเต่านี้เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕

    สังขตธรรม คือ สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น และดับไป ตั้งแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว หรือในขณะนี้ และต่อไปอีกเกินแสนโกฏิกัปป์ สภาพธรรมใดๆ ก็ตามที่เกิด สามารถประมวลเป็นขันธ์ ๕ คือ รูปทุกชนิดเป็นรูปขันธ์ ๑ สัญญา ความจำ เป็นสัญญาขันธ์ ๑ เวทนา ความรู้สึก เป็นเวทนาขันธ์ ๑ เจตสิกอีก ๕๐ ที่เหลือ เป็นสังขารขันธ์ และจิตเป็นวิญญาณขันธ์ เป็นที่ยึดมั่นพอใจติดข้อง ยากแสนยาก ที่จะให้ละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย ซึ่งทุกท่านสามารถพิสูจน์ได้ คือ แม้ว่าได้ฟังพระธรรมอยู่บ่อยๆ เนืองๆ มีความเข้าใจเรื่องหนทางอบรมเจริญปัญญา มีศาสตรา แต่ศาสตรานั้นเป็นศาสตราเล็ก หรือศาสตราใหญ่ เป็นศาสตราที่คม หรือยังไม่คม ซึ่งจะต้องทำให้คมขึ้น จึงสามารถขุด และสามารถละความยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ ได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า เขียงหั่นเนื้อนั้น เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต … กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา … โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด

    คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกเขียงหั่นเนื้อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย

    พิจารณาจริงๆ แล้ว สิ่งซึ่งเป็นที่พอใจ เป็นกามคุณ ก็ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั่นเอง

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า ชิ้นเนื้อนั้น เป็นชื่อของนันทิราคะ

    คือ โลภะ ความยินดีพอใจ

    คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกชิ้นเนื้อขึ้นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นเสีย

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า มํสเปสีติ โข ภิกฺขุ ดังต่อไปนี้ ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้อนี้ คนเป็นอันมากปรารถนากันแล้ว ทั้งเหล่ามนุษย์มีกษัตริย์เป็นต้น ทั้งสัตว์ดิรัจฉาน มีกาเป็นต้น ต่างปรารถนา สัตว์เหล่านั้นประกอบด้วยอวิชชา อาศัยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ต่างก็ปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้อย่อมติดอยู่ในที่ที่วางไว้ๆ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ถูกความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลินผูกไว้ ก็ติดอยู่ใน วัฏฏะ แม้ประสบทุกข์ก็ไม่เบื่อฉันนั้น ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ย่อมเสมือนชิ้นเนื้อด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูกร ภิกษุ คำว่าชิ้นเนื้อนี้เป็นชื่อของความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน

    ตรัสการละความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ด้วยมรรคที่ ๔

    คือ ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงดับโลภะได้หมดเป็นสมุจเฉท ไม่เหลือเลย

    ข้อความต่อไปมีว่า

    คำว่า นาคนั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้ขีณาสพ

    คือ พระอรหันต์

    คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า นาคจงหยุดอยู่เถิด เจ้าอย่าเบียดเบียนนาค จงทำความนอบน้อมต่อนาค ดังนี้

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    คำว่า นาคนี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพ

    ในคำว่า นโม กโรหิ นาคสฺส มีเนื้อความดังนี้ คือ ท่านจงกระทำการ นอบน้อมต่อพระพุทธนาคผู้พระขีณาสพว่า พระผู้มีพระภาคนั้นตรัสรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความรู้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงฝึกแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นสงบแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงข้ามแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อข้าม พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ดับสนิทแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อดับสนิท

    พระสูตรนี้ได้เป็นกัมมัฏฐานของพระเถระด้วยประการฉะนี้ ฝ่ายพระเถระ ทำพระสูตรนี้แลให้เป็นกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต

    แสดงให้เห็นว่า พระสูตรสูตรเดียวรวมธรรมทุกอย่าง ในการทำให้ผู้ฟังที่มีปัญญาสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถถึงความเป็นพระอรหันต์ได้

    ไม่มีข้อที่จะข้องใจเลย เพราะว่าพระธรรมทั้งหมดเป็นเรื่องของสภาพธรรม ที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ซึ่งผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาแล้วสามารถเข้าใจโดยไม่คิดว่า เป็นเพียงคำอุปมา แต่สามารถรู้ว่า คำอุปมานั้นๆ หมายถึงสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนั้น ที่ปัญญาจะต้องรู้ชัดจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    นี่คือโยนิโสมนสิการในการฟัง การฟังพระธรรมโดยแยบคาย คือ ฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญเนื้อความที่ได้ฟังเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตาม แม้ข้อความในปัญหา ๑๕ ข้อนั้น เช่น เห็นความสำคัญของศาสตรา คือ ปัญญา การที่จะให้กิเลสซึ่งทุกคนมีดับหมดไม่เกิดอีกเลย ถ้าไม่มีปัญญาจะดับกิเลสนั้นได้อย่างไร จะใช้วิธีอื่น เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะใช้วิธีของพวกฤๅษี พวกดาบสต่างๆ หรือ วิธีทรมานตัวต่างๆ ถ้าไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริงแล้ว ไม่สามารถละกิเลสได้

    ถ้าท่านเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีรากลึก แต่ไม่มีศาสตรา ทำอย่างไรจึงจะฟันต้นไม้ต้นนั้นได้ เหมือนกับเวลานี้ มีอวิชชา มีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทำอย่างไรจึงจะละหรือดับกิเลส ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ก็มีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่หนทางอื่น

    ลิ่มสลักอยู่ที่ไหน ขณะนี้ทุกคนทราบว่า อวิชชาเป็นลิ่มสลัก เพราะฉะนั้น ลิ่มสลักในขณะนี้อยู่ที่ไหน

    ทางตาที่เห็นเป็นเพียงธาตุรู้ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าลิ่มสลักอยู่ที่ไหน แต่เมื่อรู้ว่า ขณะเห็นเป็นลิ่มสลัก ซึ่งกว่าจะขุดลิ่มสลัก ออกจากเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมก่อน จนกระทั่งมีความเข้าใจซาบซึ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรม เป็นปัจจัยให้มีการระลึกได้ที่จะพิจารณา ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย นั่นคือความเพียร คือ การขุดอวิชชาออกจากขณะที่เห็น และไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรม

    ทางหูกำลังได้ยินก็รู้ว่า อวิชชาคือลิ่มสลัก ไม่ได้อยู่ที่อื่น ลิ่มสลักอยู่ที่ทางหู ที่ได้ยิน ยังไม่ได้ยกขึ้น เพราะฉะนั้น ก็กั้นที่จะให้รู้ว่าไม่ใช่เราที่ได้ยิน แต่เป็น สภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้เสียง เมื่อมีเสียงกระทบกับโสตปสาทก็เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เสียงเกิดขึ้นได้ยิน ถ้ารู้อย่างนี้จริงๆ นั่นคือศาสตราที่ขุดลิ่มสลักทางหู ขณะที่ได้ยิน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็โดยนัยเดียวกัน

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1916

    เมื่อกี้มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านอยากทราบความต่างกันของการดูกับ การรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าท่านเคยได้ยินได้ฟังเรื่องให้ดูสภาพธรรม แต่ตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ให้ดู แต่ต้องมีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม ที่มีจริงๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และเมื่อมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ก็ทำให้สติระลึกได้ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ในขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ หรือจะพยายามดูให้ประจักษ์การเกิดดับ ซึ่งจะพยายามดูสักเท่าไรที่จะให้ประจักษ์ การเกิดดับ ก็ไม่ใช่การอบรมเจริญความรู้ ลองเปลี่ยนใหม่เป็น ทางตา หลงลืมไป ขณะนี้ก็กำลังเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และสภาพรู้ก็มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่สภาพรู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้ากำลังเริ่มที่จะเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ดูอะไร เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้ว แต่ต้องเข้าใจสิ่งที่ปรากฏให้ถูกต้องเท่านั้นเอง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ทางหูที่กำลังได้ยินก็เหมือนกัน มีเสียง และมีได้ยินในขณะนั้น ไม่มีเห็น ไม่มีคิดนึก เพราะว่าในขณะนั้นจิตกำลังรู้เสียง ไม่ใช่ให้ดูอะไร แต่ค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่กำลังรู้เสียงว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และเสียงที่ปรากฏก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นผู้มีปกติอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ตามปกติ แล้วแต่สติจะระลึกลักของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด แต่ไม่ใช่ดู ไม่ทราบจะดูทำไม ดู คือ อยากจะรู้การเกิดดับ โดยที่ปัญญาไม่สามารถเข้าใจลักษณะของนามธรรมซึ่งต่างกับรูปธรรมในขณะที่กำลังเห็นตามปกติ ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่กระทบสัมผัส ในขณะที่คิดนึก

    . มีสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามากมาย เดี๋ยวนั่นเกิด เดี๋ยวนี่เกิด บางครั้งคล้ายๆ เราทำงานบ้านไปด้วย เราก็ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่เกิดกับเราเสมอไป คล้ายๆ ว่าเราใจลอย เราทำสิ่งนี้ แต่เราไปคิดถึงสิ่งอื่น ขณะนั้นเราก็ไม่ได้รู้ ใช่ไหม

    สุ. ขณะนั้นหลงลืมสติ ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ขณะนั้นหลงลืมสติ ใช้คำว่า หลงลืมสติ

    . ถ้าเราไม่หลงลืมสติ หมายความว่า เราต้องรู้ทันทุกอย่าง

    สุ. หมายความว่า สติเกิด จึงระลึกได้ ไม่ใช่เรา คือ ต้องเข้าใจถูก ตั้งแต่ต้น แม้แต่พยัญชนะที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เห็นก็ต้องเป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นเห็น ได้ยินก็เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ยิน สติปัฏฐานก็ต้องมีเหตุปัจจัย จึงจะเกิดระลึกได้ที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่เช่นนั้นก็หลงลืมไป แต่ต้องมีความเข้าใจในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม และมีการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ที่จะทำให้เข้าใจขึ้นๆ ทำให้สติระลึกได้ที่จะรู้ว่า ขณะที่กำลังเห็นจริงๆ ในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นสภาพรู้ และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏได้ทางตาเท่านั้น เพราะฉะนั้น จะว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นเรา หรือเป็นของเราไม่ได้

    . ถ้าอย่างนั้นก็ผิดหมด คือ ยังเป็นเราอยู่ตลอด และยังมีการหลงลืมอยู่

    สุ. ต้องค่อยๆ อบรมเจริญสติปัฏฐาน และไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องจะให้สติเกิดมากๆ หรือบ่อยๆ แต่ควรที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นจนกว่า สติปัฏฐานจะเกิดระลึกได้ที่ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมทางหนึ่งทางใด โดยความเป็นอนัตตา โดยไม่มีความเป็นตัวตนที่จะดูหรือจะทำ เพราะว่าขณะที่สติเกิด สติเกิดเพราะเหตุปัจจัย และสติทำกิจระลึก ไม่ใช่เราจะระลึก ถ้าสติไม่เกิดก็หลงลืม คือ ขณะนั้นไม่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม

    เป็นเรื่องที่ต้องอบรมเจริญความรู้ อย่าลืมว่า ปัญญา คือ ศาสตรา นอกจากความรู้แล้ว อย่างอื่น จะไปดูอะไรอย่างไรสักเท่าไรโดยปัญญาไม่เกิด ก็ไม่สามารถ ละคลายกิเลสได้


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1917


    หมายเลข 13221
    25 ต.ค. 2567