การเจริญสติไม่มีแบบฉบับ


    ผู้ฟัง ขอทราบข้อสงสัยดังนี้ วิชาให้มีสติ เป็นวิชาพิเศษขนาดยาวพิสดารชอบกล นับว่าประหลาดที่สุดของอาจารย์ ใครก็ตามฟังเข้าใจแล้ว เป็นได้ทั้งหลักวิชาและหลักปฏิบัติในชีวิตประจำของแต่ละคนได้ดีมาก หากรู้จักใช้ ประโยชน์อย่างยิ่ง และสำคัญที่สุดถ้ามีสติเฉพาะจวนจะตาย ดีแน่

    คำว่า สติ คงเป็นชื่อจำง่ายไม่ต้องท่อง มีการงานรู้สึกตัวเป็นลักษณะรู้ เพียงเท่านี้ยังไม่พอ อาจารย์ผู้ให้วิทยาทานนี้ เตือนให้เจริญสติเนืองๆ ยังจำกัดความหมายไว้อีกว่า การเจริญสติไม่มีแบบฉบับ ทำให้กันดูไม่ได้ ถ้ามีแบบฉบับก็ไม่เรียกว่าเจริญสติ ทั้งเน้นชัดอีกว่าสติจะเกิดขึ้นเองก็ไม่ได้ ต้องอาศัยทวารทั้ง ๖ เป็นเหตุเป็นปัจจัย จะสร้างหรือบังคับให้สติเกิดก็ไม่ได้ ยังห้ามไม่ให้เจาะจงจดจ้อง นึกคิดเอาตามใจชอบให้ผิดปกติ

    พอมาถึงตรงนี้ก็กล่าวว่า สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างรวดเร็ว คงมีความหมายว่า สติของคนทุกคนเกิดดับอยู่แล้ว เจ้าของสติไม่รู้ ผู้มีความสังเกตจะทราบได้เมื่อสติเกิดขึ้นขณะใด ลักษณะของนามรูปก็ปรากฏแล้วพิจารณาให้รู้ นามใดรูปใดเกิดจากทวารไหนให้ชัดว่า นามนั้นรูปนั้นมีลักษณะอย่างไร ถ้ารู้อย่างนี้ปัญญาก็จะเกิดทีละขั้นๆ เมื่อสติเจริญมากเข้าๆ ปัญญาก็สมบูรณ์ การละคลายตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นก็จะหมดไป จำได้เพียงเท่านี้จะผิดหรือจะถูกยังไม่แน่เหมือนกัน ใคร่ทราบว่าการเจริญสติที่ว่าไม่มีแบบฉบับนั้น ขอคำอธิบายให้ชัดเจนว่า อาจารย์ได้มาโดยวิธีการอย่างไร หากบอกให้ส่วนรวมเข้าใจ จะดีมาก

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 23

    สุ. ที่ถามว่าได้มาโดยวิธีการอย่างไร คงจะไม่คิดว่านอกตำราใช่ไหม ตำราคืออะไร? พระไตรปิฏก ท่านผู้ใดสงสัยก็ศึกษาดูได้ ตั้งแต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วแต่ละท่านนี้สะสมเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดนามและรูปต่างๆ กันไม่เหมือนกัน แต่ละคนจะคิดก็ต้องคิดถึงสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เคย รู้รส เคยพอใจ เคยไม่พอใจ

    เพราะฉะนั้น จะวางกฏเกณฑ์ให้ขณะนี้รู้นามนั้น ขณะนั้นรู้รูปนี้ ได้อย่างไร ในเมื่อเหตุปัจจัยอาจจะทำให้โลภะของคนหนึ่งเกิด สำหรับอีกคนหนึ่งเป็นโทสะ สำหรับอีกคนหนึ่งเป็นกุศล แล้วแต่ว่าขณะนั้นนามชนิดใดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วแต่ละคนบังคับสติให้เกิดพร้อมๆ กันได้ไหม? ก็ไม่ได้ บางคนขณะนี้ไม่เกิด ต่อไปอีกประเดี๋ยวหนึ่งสติก็เกิดขึ้น และเมื่อเกิดแล้ว คนนั้นจะรู้ที่เสียงว่าเป็นสภาพที่ปรากฏให้รู้ได้เฉพาะทางหูเท่านั้น อีกคนหนึ่งอาจจะรู้ที่ได้ยิน อีกคนหนึ่งอาจจะรู้ที่เย็น อีกคนหนึ่งอาจจะรู้ที่เมื่อย อีกคนหนึ่งอาจจะรู้ที่กำลังคิดนึกก็ได้ ก็เป็นสิ่งที่แล้วแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถที่จะวางกฏเกณฑ์แบบฉบับได้เลย ปัญหานี้ควรจะเปลี่ยนเป็นว่า การมีแบบฉบับวางกฏเกณฑ์นั้น อยู่ที่ไหนในพระไตรปิฏก มีท่านผู้ใด

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 24


    หมายเลข 13443
    14 เม.ย. 2568