นสันติสูตร


    สำหรับความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วก็ควรจะแสดงความนอบน้อม ซึ่งมีปรากฏในพระไตรปิฏก ใน สังยุตตรนิกาย สคาถวรรค ภาค ๑ นสันติสูตร ที่ ๔ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทำให้พระวิหารเชตวันนั้นสว่างไสว เมื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายอภิวาทแล้ว ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวคาถาในสำนักของพระผู้มีพระภาค สรรเสริญพระอรหันต์ผู้พ้นจากเครื่องข้องทั้งปวงได้ เมื่อเทวดากล่าวสรรเสริญแล้ว ท่านพระโมฆราช ก็กล่าวว่า ก็หากว่าพวกเทวดา พวกมนุษย์ในโลกนี้ก็ดี ในโลกอื่นก็ดี ไม่ได้เห็นพระขีณาสพนั้น ผู้อุดมกว่านรชน ผู้ประพฤติประโยชน์เพื่อพวกนรชน ผู้พ้นแล้วอย่างนั้น เทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อมไหว้พระขีณาสพนั้น เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ย่อมเป็นผู้อันบัณฑิตพึงสรรเสริญ

    แล้วพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ แม้พวกเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ย่อมเป็นผู้อันบัณฑิตพึงสรรเสริญ พวกเทวดาและมนุษย์เหล่าใด ย่อมไหว้ขีณาสวภิกษุนั้น ผู้พ้นแล้วอย่างนั้น ดูกรภิกษุ แม้เทวดาและมนุษย์เหล่านั้นรู้ธรรมแล้ว ละวิจิกิจฉาแล้ว ก็ย่อมเป็นผู้ล่วงแล้วซึ่งธรรมเป็นเครื่องข้อง เมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะแล้ว ข้อปฏิบัติก็ถูกได้ เพราะเหตุว่าไม่มีการคลาดเคลื่อนไปตามความคิดเห็นของบุคคล ซึ่งอาจจะมีการบกพร่องหรือว่าการคลาดเคลื่อน การไขว้เขวได้ ถ้าไม่สอบทานเทียบเคียงพิจารณาเหตุผลให้ตรงกับพระธรรมวินัย แต่ถ้าผู้ใดมีพระธรรมวินัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่แท้จริง พิจารณาสอบทานเทียบเคียงอยู่เสมอ ก็ย่อมจะทำให้ข้อประพฤติปฏิบัติของผู้นั้นสมบูรณ์ไม่คลาดเคลื่อน

    วันนี้ก็เป็นเรื่องของพระสูตรหลายๆ สูตร ซึ่งก็เป็นความประสงค์ที่อยากจะให้ท่านเพิ่มความสนใจ ศึกษา สอบทาน เทียบเคียงกับพระธรรมวินัยให้ยิ่งขึ้น ไม่ว่าท่านจะมีความข้องใจสงสัยในธรรมประการหนึ่งประการใด แม้แต่ในเรื่องข้อสนทนาที่ว่า การบวชเป็นบรรพชิตจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์อย่างไร ท่านก็จะได้ฟังความคิดเห็นของบุคคลในครั้งอดีต พร้อมทั้งเหตุผล แล้วก็ยังมีเรื่องที่จะทำให้ท่านหายข้องใจได้นานาประการทีเดียว


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 26


    หมายเลข 13446
    14 เม.ย. 2568