สาระจริงๆ ไม่ใช่สิ่งทีเกิดดับ


    ผู้ฟัง อย่างนั้น สัญญาเจตสิกก็เกิดมาทุกภพทุกชาติไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือจะไปเป็นเทวดาที่ไหนก็คือเป็นสัญญาที่เหมือนมั่นคงมากเลย จำแต่ละเรื่องที่ไม่ใช่ปรมัตถ์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าใจโดยการฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถสละความเห็นว่า เป็นคนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เกิดดับเลย เป็นความรู้ที่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะว่าขณะที่ได้ยิน จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้รวมอยู่ในเสียงเลย ขณะที่ได้ยินมีเสียงชั่วขณะที่แสนสั้นเป็นอารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตกำลังได้ยินขณะนั้น ไม่ใช่สีสันวัณณะ เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่ทำให้ไม่ประจักษ์ว่าเห็นเป็นขณะหนึ่งที่ต้องอาศัยจักขุปสาท ได้ยินไม่ได้อาศัยจักขุปสาทเลย แต่ต้องอาศัยโสตปสาท ได้ยินจึงเกิดขึ้น ในขณะนี้เองก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งได้ฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เริ่มจากความเข้าใจ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของนิพพาน เป็นไปไม่ได้เลย ต้องมีปัญญาที่ฟังเรื่องราวของสภาพธรรมจนกระทั่งในขณะที่เห็นเริ่มเข้าใจ ซึ่งทุกคนฟังแล้วเข้าใจได้ขณะนี้ว่า เป็นสีสันวัณณะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ พอหลับตาสีต่างๆ ไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏบางสีถ้ามีแสงสว่าง เช่น ไฟฟ้า หรืออะไรที่ปรากฏ ก็จะปรากฏสีสันวัณณะอย่างหนึ่ง และถ้าไม่ใกล้แสงไฟก็จะปรากฏสีที่จางลงกว่านั้น มืดกว่านั้น คล้ำกว่านั้น ก็เป็นอีกสีหนึ่ง แต่พอลืมตา แค่สีเท่านั้น เหมือนอย่างนั้น แต่มากสี ก็ทำให้เกิดการทรงจำว่าเป็นคน

    เพราะฉะนั้น อัตตสัญญา ความทรงจำว่าเป็นเราหนาแน่นมาก ดังนั้น ขอให้ทราบว่า การฟังพระธรรม เพื่อละความไม่รู้ ที่เคยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม และสภาพธรรมที่ละความไม่รู้นั้น ก็คือ ปัญญา เพราะเข้าใจถูกต้องในสภาพที่กำลังปรากฏ จึงค่อยๆ จะรู้ว่าเราหลงยึดถือด้วยความไม่รู้มานานเท่าไหร่ เครื่องพิสูจน์ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่สามารถที่จะเห็นโทษภัย เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาดับ ไม่เห็นโทษภัยเลยใช่ หรือไม่ แล้วต่อสนิทด้วยเสียงที่ปรากฏทางหู แต่เสียงก็ดับ ไม่ใช่ไม่ดับ และก็ต่อด้วยสภาพจิตที่คิดนึก เพราะฉะนั้น โทษภัยของสังสารวัฏฏ์ ก็คือทุกขณะซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ โดยที่ไม่รู้ ไม่รู้ตลอดชาติก็มี หรือว่าในชาตินี้ได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่สูญหายเลย เพราะว่า ต่อไปจะถึงลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แม้ว่าจะเกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าจิตแต่ละขณะจะเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนันตรปัจจัย ใครทำลายไม่ได้เลย หมายความว่า เมื่อจิตขณะหนึ่งดับ จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น

    ถ้าฟังต่อไป ก็มีสภาพธรรมให้เข้าใจขึ้นว่า เรากำลังศึกษารู้ความจริงของสิ่งที่มีทุกภพทุกชาติไม่ขาดเลย ให้เพิ่มความรู้ในลักษณะนั้นว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจคำว่าธรรม จะรู้ว่ามีธรรมตลอดเวลา ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ แต่มีธรรม และธรรมก็จำแนกเป็นนามธรรมกับรูปธรรม อย่างหนึ่งอย่างใด รูปธรรมจะเป็นนามธรรมไม่ได้ นามธรรมจะเป็นรูปธรรมไม่ได้ และนามธรรมก็มีสองอย่าง คือจิตกับเจตสิก จิตก็จะเป็นเจตสิกหนึ่งเจตสิกใดไม่ได้เลย เจตสิกก็จะเป็นจิตไม่ได้เลย แม้เจตสิกที่มี ๕๒ ประเภท แต่ละหนึ่งก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ เช่น สติเจตสิกจะเป็นปัญญาเจตสิกไม่ได้ ความรู้สึกคือเวทนาเจตสิกจะเป็นสัญญาเจตสิกไม่ได้ ทั้งหมดมีอยู่ที่ตัวเราทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมก็คือ สามารถที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง แล้วก็จะเห็นจริงตามพระธรรมที่ทรงแสดงทุกประการ แม้แต่เพียงเราพูดสั้นๆ ว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ แต่ทรงแสดงโทษว่าสิ่งที่เกิดแล้วดับไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระที่เราจะยึดถือ เพราะเหตุว่า ถ้าเรายึดถือในสิ่งนั้นก็คือด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นในชีวิตของเรา เราอาจจะคิดว่ามีอะไรเป็นสาระตั้งหลายอย่าง แต่ความจริงสิ่งที่เป็นสาระจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมที่จะให้ปัญญาของผู้ที่ได้ฟังไตร่ตรองเข้าใจ จนกระทั่งเจริญขึ้น สามารถที่จะดับกิเลสได้ด้วยปัญญาที่เจริญแล้ว

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้น ปัญญาระดับทั่วๆ ไป ถ้าจะใช้คำว่า “จะทำอะไรคิดอะไรก็ให้มีสาระ” ความหมายของคำว่า “สาระ” กว้างมาก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นภาษาของคนที่ยังไม่ได้ฟังธรรม แต่เมื่อฟังธรรมแล้วก็จะรู้ว่าเข้าใจถูก หรือเข้าใจผิดในคำนั้น หรือว่าคำนั้นใช้ในภาษาหนึ่งภาษาใด แต่ไม่ได้หมายความถึงสภาวธรรม

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 16

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 17


    หมายเลข 5360
    24 ม.ค. 2567