ไม่อยากให้การกระทำอกุศลทางกาย ทางวาจา เกิดขึ้น
เหตุเพราะกิเลสที่ได้สะสมมาแต่อดีตอนันตชาติ ทำให้เราทำสิ่งซึ่งเราไม่ตั้งใจ จะทำตั้งหลายอย่างซึ่งเราไม่อยากให้เป็นอกุศล ไม่อยากให้เป็นกรรมแบบนี้เกิดขึ้น แต่เพราะเรายังมีกิเลสอยู่จึงเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำอกุศลทางกาย ทางวาจา ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ ต้องอาศัย พระธรรมการเข้าใจพระธรรม อบรมเจริญปัญญาจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกว่าปัญญาจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงขึ้นแล้วก็ละความยึดถือว่าเป็น ตัวตนก่อน ให้รู้สภาพธรรมว่าธรรมะเป็นธรรมะไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ
การอบรมปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะปัญญาทำให้กุศลทุกอย่างเจริญขึ้นค่ะ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
อยากหรือไม่อยากก็มีเหตุปัจจัยให้อกุศลเกิดขึ้น เป็นธรรมดา มั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรม และเป็นอนัตตา เริ่มจากขั้นการฟังให้เข้าใจ เพราะมีเรา ยึดถือว่าเป็นเราในสภาพธรรม ที่เกิด ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลประการต่างๆ อยู่ร่ำไป ให้เข้าใจถูกว่า ละความเป็น เราก่อน ปัญญาละ ไม่ใช่เราจะไปละ ไปพยายาม ไม่รู้ก็ไม่รู้เพราะเมื่อยังไม่รู้จะให้ไปรู้ ได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของธรรมที่จะรู้ (ปัญญา)
แต่ที่สำคัญเมื่อปัญญาเจริญขึ้น กาย วาจาและใจย่อมดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จะดีไปตลอดเพราะยังมีกิเลสอีกมากมาย เพราะเป็นเพียงปัญญาขั้นการฟังเท่านั้น การอบรมสติปัฏฐาน จึงขาดการอบรมบารมี 10 ในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยเพราะเกื้อกูล กัน หากเข้าใจหนทางแต่ไม่อบรมเจริญกุศลทุกประการ ก็เหมือนคนที่เห็นทางแต่ไม่มี แรงที่จะเดิน ดังนั้นหากเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราจึงเห็นประโยชน์ของการเจริญทุก ประการด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ...
มุ่งเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ไม่พอ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
กุศล เจริญยาก เปรียบเหมือน ปีนขึ้นภูเขาที่สูงชัน
อกุศล เจริญง่าย เหมือนเดินลงทางที่ลาดลื่น
กิเลส... มียอดหวาน แต่รากเป็นพิษ ความจริงโดนหลอก... กิเลสเป็นพิษที่มีรสหวาน ผู้เสพจึงมักไม่รู้พิษสงที่แท้จริงของมัน จึงหลงเสพมาตลอดทุกชาติในอดีตอนันตชาติ และยังคงเสพอยู่เรื่อยๆ บ่อยๆ แม้ในปัจจุบันชาติ (ภรภาอรก็ด้วย) ความประพฤติอันเป็นอกุศลทั้งทางกาย วาจา ใจ จึงเกิดขึ้นได้แน่ๆ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากให้เกิด แต่กิเลสที่เสพไว้สะสมไว้เป็นปัจจัย พร้อมเมื่อไหร่ ได้โอกาส มันก็ต้องเกิดขึ้น
แต่การฟังพระสัทธรรม การสะสมเหตุใหม่ ความเข้าใจถูก จะค่อยๆ ทำให้เห็นความจริง ว่ากิเลสเป็นพิษ...ไม่ใช่ของหวาน แต่อย่าคิดหักดิบล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวจะผิดหวังว่าศึกษา (มาแค่นิดเดียว) แล้วยังไม่ยอมละกิเลสสักที (จะพาลท้อถอยเปล่าๆ ) ตั้งใจฟัง พระสัทธรรมเป็นของยาก แต่ประหารกิเลสได้เด็ดขาด ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ละ การสละกิเลสได้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยังอีกนาน แต่มันย่อมเกิดขึ้นได้สักวัน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น หากไม่หยุดการฟัง ไม่ห่างการสะสม ...ความเข้าใจ...
ขออนุโมทนาพี่เมตตา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ