วาระที่เปลี่ยนได้....?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ท่านอาจารย์ โลภะ เป็น อนัตตา หรือเปล่าเจ้าคะ
ท่านพระภิกษุ เป็น...แต่เป็น "อนัตตาที่ควรละ"
ท่านอาจารย์ ต้อง "รู้" ก่อน ถึงจะ "ละ" ได้
ท่านพระภิกษุ อนัตตา ก็เกิดจาก ปัจจัย ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไปคิดว่า อนัตตาเกิดจากปัจจัย แต่สภาพธรรมที่กำลังมีขณะนี้ แต่ละอย่างๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ปัญญาต้องอบรม จนกระทั่งรู้ความจริงคือ "รู้ชัดในลักษณะ" ของสิ่งที่ปรากฏนั้นๆ ว่าเป็นรูปธรรม หรือ นามธรรม จึงจะไม่ใช่เราการรู้ว่า "ไม่ใช่เรา" รู้ว่าเป็น "นามธรรม และ รูปธรรม" อย่างนี้ คือ "รู้ความเป็นอนัตตา" เมื่อรู้ว่าเป็นนาม เป็นรูป ก็ไม่ใช่เรา
ท่านพระภิกษุ คิดเองหรือเปล่า ว่า รูป ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ขณะที่ฟังอยู่นี้ กำลังคิด แต่ "ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ไม่ใช่คิด" นี้คือ ความต่าง ของสติปัฏฐาน กับ สติขั้นคิด
ท่านพระภิกษุ สติปัฏฐานเกิดทางมโนทวาร หรือ ทางปัญจทวาร
ท่านอาจารย์ ทางมโนทวาร เจ้าค่ะ....แล้วการคิด เกิดทางไหน เจ้าคะ.?
ท่านพระภิกษุ ทางมโนทวาร
ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ แล้วขณะนี้ ก็มีการคิด ใช่ไหม เจ้าคะ
ท่านพระภิกษุ ใช่
ท่านอาจารย์ ฉะนั้น ถ้าสติปัฏฐานจะเกิด แทนที่จะคิดก็เป็นการระลึกลักษณะที่มีจริงๆ นี้คือประโยชน์จากการฟังพระธรรม ก่อนฟังพระธรรม ก็คิดตลอด ไม่เคยมีสติ ที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมเลย เมื่อฟังพระธรรม แล้วทราบว่า "ลักษณะของรูป" ปรากฏได้ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเพราะเหตุว่าทางใจนั้น ก็รับรู้ รูปนั้น ต่อจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และขณะที่คิด ก็เป็นนามธรรม ซึ่งคิดเรื่องอะไรก็ได้
ฉะนั้น เมื่อ "เห็นแล้วคิด" จะคิดอะไรก็ตาม แต่สติ สามารถเกิดแทนคิดได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคิดไปตลอด และ สติปัฏฐานสามารถเกิด โดยขณะนั้น ยังไม่ใช่ขณะที่คิด เพราะขณะนั้นไม่ใช่ วาระที่จะคิด ฉะนั้น ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมมาก่อน เมื่อเห็น ก็คิด เหมือนเดิม แต่พอเข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน ก็มีปัจจัยให้เห็นแล้ว ยังไม่ถึงวาระที่คิดหรือจากที่เคยเป็นวาระที่คิด ก็เป็นวาระของสติ ที่เกิดก็ได้ และสติ "ระลึกตรงลักษณะ" ของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏด้วยเหตุนี้ ผู้นั้นจึงทราบว่า ขณะใดที่สติเกิด ขณะใดที่หลงลืมสติ ซึ่งต้องเป็นปัญญา เพราะเหตุว่า จิตต้องประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ จึงจะเป็นสัมมามรรคมิฉะนั้น ก็มีแต่คิด "เรื่องราวของสภาพธรรม" แต่ไม่สามารถ"ระลึกลักษณะของสภาพธรรม" ซึ่งพร้อมให้สติ ระลึกรู้ได้
มีความเข้าใจถูกต้องเมื่อไรสติปัฏฐานก็สามารถที่จะเกิด ระลึกรู้ได้เมื่อนั้น.แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง...ก็นั่งคิดไปตลอดและเข้าใจผิดว่า "คิด" นั่นแหละ เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งขณะที่กำลังคิด และ กำลังรู้คำ รู้เรื่องราว ขณะนั้น ไม่ใช่ "สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม" ขณะที่เห็นก็มีจริง ขณะที่คิดก็มีจริงสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร (ก็เป็นไปตามปกติ) ไม่ใช่ให้มี "ตัวตน" ไปเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยับยั้งสภาพธรรม ที่มีปัจจัยให้เกิด ในแต่ละวันได้
ฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดง "เรื่องความจริงของสภาพธรรม" แต่ให้รู้เพิ่มขึ้น จากการที่เคยเพียงแต่คิดเอาเองว่า "ไม่ใช่ตัวตน" นั้นคือคิด แต่ ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ก็คือ ขณะที่เห็น ขณะนี้ เป็น "เรา" หรือเปล่า ที่เห็น นี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะคะบังคับให้เห็น หรือ ไม่ให้เห็น ได้ไหม เมื่อมีปัจจัย การเห็น ก็เกิดนี้เป็นความคิดขั้นฟัง แต่คิดอย่างนี้ ไม่ใช่การรู้ลักษณะของ "การเห็น" จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิด "ระลึกลักษณะที่กำลังเห็น" และค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า เป็นสภาพธรรม ที่สามารถเห็นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา
ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธาตุ ก็เป็น "เราเห็น" ถ้ารู้เมื่อไร ก็คือชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งธาตุชนิดนี้เกิดขึ้น ทำกิจเห็น แล้วก็ดับไปธาตุอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ทำกิจได้ยิน แล้วก็ดับไปเป็นการเกิดขึ้นและดับไปของธาตุคนละชนิดเกิดและดับไป คนละขณะธาตุเห็น ก็อย่างหนึ่ง ธาตุได้ยิน ก็อย่างหนึ่งเกิดและดับไป ตามเหตุตามปัจจัยอย่างนี้ คือความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง
สนทนาธรรมที่วัดสิงห์วรวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา
เพราะอาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จนค่อยๆ เข้าใจขึ้นวาระที่หลงลืมสติแล้วไม่เคยรู้...ก็เปลี่ยนเป็นเริ่มรู้ด้วยสติถึงวาระที่หลงลืมสติวาระที่มีสติแล้วไม่เคยใส่ใจ...ก็เปลี่ยนเป็นใส่ใจด้วยสติถึงวาระที่มีสติวาระที่สติขั้นคิดเกิดแต่คิดว่าเป็นสติปัฏฐาน ก็เปลี่ยนเป็นเริ่มรู้ว่ายังไม่ใช่สติปัฏฐานวาระที่สติปัฏฐานเกิด ก็เปลี่ยนเป็นเริ่มรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่เราแต่วาระของอกุศล ก็ยังมากกว่า วาระของกุศลอยู่อย่างมหาศาล จึงไม่ควรประมาท
...ขออนุโมทนาครับ...
ขอเรียนถามว่า จาก ข้อความในกระทู้
ท่านพระภิกษุ สติปัฏฐานเกิดทางมโนทวาร หรือ ทางปัญจทวาร
ท่านอาจารย์ ทางมโนทวาร เจ้าค่ะ แล้วการคิด เกิดทางไหน เจ้าคะ
เมื่อเปรียบเทียบกับมติตามกระทู้
สติปัฏฐาน...ไม่ใช่รู้รูปเดียวหรือนามเดียว
ซึ่งมีว่า สติปัฏฐานเกิดทางปัญจทวาร ด้วยก็ได้ แล้วขัดกัน หรือไม่
ขอบพระคุณครับ
ความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าไม่ขัดกันครับ ท่านอาจารย์ท่านไม่ได้ตอบว่า ทางอื่นจะเกิดไม่ได้ หรือไม่มีทางเกิดเลย เพียงแต่ว่าบริบทที่กำลังสนทนาธรรมกันอยู่นั้น คือสภาพนามธรรมทางใจที่คิดนึก ซึ่งก็สามารถเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้เช่นกันครับ
หลายครั้งที่ท่านอาจารย์ ท่านจะตอบโดยคำนึงถึงประโยชน์ในการที่จะเกื้อกูลให้ท่านผู้ฟังที่ร่วมสนทนาธรรมด้วยได้เข้าถึงตัวธรรมะที่มีจริงๆ มากกว่า โดยที่ท่านไม่ห่วงว่าจะท่านจะต้องกล่าวให้ครบที่สุด ให้ละเอียดที่สุดตามตำราพระอภิธรรมจนหมด แต่ท่านจะคำนึงถึงความเข้าใจของผู้ร่วมสนทนาด้วยเป็นที่สุดครับ เพราะถ้าท่านผู้นั้น ฟังในขณะนั้นไม่เข้าใจ การจะกล่าวธรรมะในส่วนที่ละเอียดเกินไป ก็ย่อมเป็นประโยชน์น้อยอาจจะทำให้ผู้นั้นเข้าถึงธรรมลำบาก เพราะอาจจะไปติดอยู่ที่ชื่อ หรือ หลงไปสงสัยในประเด็นอื่น แล้วก็ถามในเรื่องอื่น ทั้งๆ ที่หัวข้อธรรมะที่กำลังคุยกันอยู่ ท่านผู้นั้นก็อาจจะยังไม่เข้าใจเลยก็ได้ครับ
และตามความเป็นจริง ก็มีข้อสังเกตว่า การที่กุศลจิตญาณสัมปยุตต์จะเกิดที่ชวนจิตทางปัญจทวาร ก็คงจะไม่ง่ายเลย คิดว่า ปัญญาจะต้องคมและมีกำลังมากจริงๆ ที่เพียงหลังจิตเห็น 1 ขณะดับไป วิบากจิตอีก 2 ขณะเกิดต่อดับไป กิริยาจิตอีก 1 ขณะเกิดต่อดับไป แล้วปัญญาก็เกิดที่ชวนจิตทางปัญจทวารวิถีได้อย่างรวดเร็ว เพียง 3 ขณะจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน ต่อจากจิตเห็นที่ดับไป แล้วปัญญาก็เกิดต่อทันที ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาไม่น้อยเลยทีเดียวครับ คิดว่า ท่านอื่นอาจจะช่วยกรุณาชี้แจงพระธรรมส่วนละเอียดและเหตุผลในข้อนี้ได้อีก
...ขออนุโมทนาครับ
กรุณาพิจารณาประโยคนี้อีกสักครั้งนะคะ
และ สติปัฏฐานสามารถเกิด โดยขณะนั้น ยังไม่ใช่ขณะที่คิดเพราะขณะนั้นไม่ใช่ วาระที่จะคิด เข้าใจว่า ยังไม่ใช่ขณะคิด ทางมโนทวาร ก็ต้องเป็นทางปัญจทวาร ค่ะ
และ
แต่พอเข้าใจเรื่องสติปัฏฐาน ก็มีปัจจัยให้เห็นแล้ว ยังไม่ถึงวาระที่คิดเข้าใจว่า ในที่นี้ หมายถึงสติเกิดทางวาระจิตทางปัญจทวาร โดยยังไม่ถึงวาระที่คิดทางมโนทวาร
คนละวาระจิตกัน ถูกต้องไหมค่ะ
และ
จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิด "ระลึกลักษณะที่กำลังเห็น" และค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า เป็นสภาพธรรม ที่สามารถเห็นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา ขณะเห็น กับ ขณะคิด เป็นคนละขณะกันค่ะ
ลองทบทวนจากกระทู้ ๑๐๖๔๔
รูปธรรมและนามธรรมเกิดดับเร็วมาก...รู้ได้ขณะไหน
วาระจิต ที่เห็น วาระจิต ที่คิด คนละวาระ ส่วนใหญ่ เห็นแล้วคิดทันที จึงเหมือนรู้ไม่ได้ เพราะเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ท่านอาจารย์จึงมักจะถามว่า "ขณะนี้ เห็น หรือคิด"
น่าสนใจมาก ผมขอรับฟังไว้ในฐานะ เป็นประสบการณ์ของท่านผู้กำลังดำเนินอยู่ในมรรค จากผู้ที่รู้ว่ายังไม่ใช่สติปัฏฐาน
ขออนุโมทนาครับ
อ้างอิงความเห็นที่ 7
หลายครั้งที่ท่านอาจารย์ ท่านจะตอบโดยคำนึงถึงประโยชน์ในการที่จะเกื้อกูลให้ท่านผู้ฟังที่ร่วมสนทนาธรรมด้วยได้เข้าถึงตัวธรรมะที่มีจริงๆ มากกว่า โดยที่ท่านไม่ห่วงว่าจะท่านจะต้องกล่าวให้ครบที่สุด ให้ละเอียดที่สุดตามตำราพระอภิธรรมจนหมด แต่ท่านจะคำนึงถึงความเข้าใจของผู้ร่วมสนทนาด้วยเป็นที่สุดครับ เพราะถ้าท่านผู้นั้น ฟังในขณะนั้นไม่เข้าใจ การจะกล่าวธรรมะในส่วนที่ละเอียดเกินไป ก็ย่อมเป็นประโยชน์น้อย
สาธุ
ข้อคิดจากความเห็นที่ 8 และ 9
คำแนะนำและข้อสังเกตของคุณพุทธรักษาเป็นประโยชน์มาก คำถามเหล่านี้ น่าสนใจมาก ขณะนี้ กำลังคิด ว่า จะรู้คำตอบได้อย่างไรครับ
เพราะเหตุนี้ พื้นฐานอภิธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญมากค่ะไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ไม่พ้นจาก จิต เจตสิก รูป (นิพพาน ยังไม่ต้องห่วง) เมื่อมั่นคงขั้นนี้แล้ว ก็ค่อยๆ ฟังแล้วฟังอีก เทียบเคียงสอบถาม สนทนาทบทวนไปทบทวนมา ฯลฯเข้าใจได้เมื่อไร ก็เมื่อนั้น แต่ต้องเป็นความเห็นถูกนะคะ
คำตอบมีอยู่แน่ แต่จะประจักษ์ได้ ก็ต่อเมื่อไม่ทิ้งการศึกษาพระธรรมเท่าที่เหตุปัจจัยจะอำนวยและไม่ลืมว่า โลภะติดข้องได้ทุกอย่าง แม้แต่การศึกษาพระธรรมโลภะเป็นเครื่องเนิ่นช้า ปัญญาไม่ใช่เกิดได้เอง โดยไม่มีการอบรมอย่างมาก
จากการศึกษา เข้าใจว่าหากมีคำว่าสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงขณะเห็น มีจริงไหมคะ สติปัฏฐานเกิดได้ไหม ขณะคิด มีจริงไหมคะ สติปัฏฐานเกิดได้ไหม
สติปัฏฐานมี ปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์ เท่านั้นบัญญัติ เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน ไม่ได้ สิ่งใดที่มีจริง มีลักษณะจริงๆ และปรากฏในขณะนั้นๆ หากมีปัจจัย ให้สติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ลักษณะที่มีจริงที่กำลังปรากฏ คือ ฐานของสติ
ถ้าคิดแล้วตาลาย ฟังต่อไปให้เข้าใจก่อนดีกว่าไหมคะพระธรรมเป็นเรื่องยากค่ะ
ลองทบทวนดูนะคะ
อาหารของสติปัฏฐาน
ขออนุโมทนา