ความจริง คือ ความจริง...ไฟกำลังไหม้ศรีษะอยู่ ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาก เทปวิทยุแผ่นที่ ๑๔ ครั้งที่ ๘๐๙-๘๑๐ (๑๗.๔๕/๒๒.๐๕) บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
(สักกปัญหสูตร)
ถ้าท่าน อ่านพระไตรปิฎกเช่น เรื่อง "สักกปัญหสูตร" ใน ทีฆนิกาย มหาวรรค
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ ว่า เวลาที่ ท้าวสักกะ จอมเทพ ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคฯพระองค์ ไม่ได้ทรงห้าม ไม่ให้ท้าวสักกะ "คิด" ไม่ได้ตรัส ให้ท้าวสักกะ ออกจากที่เฝ้าเพื่อไปเจริญสมณธรรมอะไรเลย แต่ ไม่ว่า ท้าวสักกะ จะกราบทูลถาม ปัญหาใด พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา ที่ท้าวสักกะ ทูลถาม จน แจ่ม แจ้ง (และ) ท้าวสักกะ รู้แจ้ง อริยสัจจธรรมเป็น พระโสดาบัน
ไม่ได้ให้ไปทำอะไรที่ไหนเลย แต่ เป็นเพราะ "ความแจ่มแจ้งของธรรม" ที่ได้ฟังประกอบกับ "ปัญญา" ที่ได้สะสมอบรม (มาแล้ว) เป็น "ปัจจัย" ให้รู้แจ้ง แทงตลอดแม้ ใน "ขณะ" ที่กำลังสดับตรับฟัง "พระธรรม" จาก พระผู้มีพระภาค
การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นเรื่อง "ปกติ" ใน "ขณะนี้" เอง ใน "ขณะ" ที่กำลังฟัง "เรื่อง" ของ นามธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ใน "ขณะ" ที่กำลังเข้าใจ "รูป" ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขึ้นอยู่กับ "ปัญญา" ที่ได้อบรม (สะสมมาแล้ว) ที่จะ "ประจักษ์" ว่า นามธรรม และ รูปธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จริงๆ
นามธรรม ต้องมี "ลักษณะ" เป็น "สภาพรู้" เพราะฉะนั้น เวลานี้ เข้าถึง "อรรถ" ของ "คำ" ว่า "สภาพรู้ ที่ กำลังเห็น" หรือยัง นี่ คือ "ปัญญา" จริงๆ ที่จะ รู้ ว่า "ลักษณะของสภาพรู้" ไม่ใช่ "ชื่อ" ว่า นามธรรม แต่ ว่า เป็น "ลักษณะที่ น้อมไปสู่ อารมณ์"
พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติเรียก"สภาพธรรม" นั้น ว่า "นามธรรม" เพราะเหตุว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
"สิ่งที่ปรากฏ" ที่ ไม่ใช่ สภาพรู้เป็น "รูปธรรม" (เช่น) "ขณะนี้" มี "เสียง" ปรากฏ ถ้าพิจารณาแล้ว จะทราบว่า "เสียง" มีจริง เพราะว่า มี "ปัจจัย" เสียง จึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น "เสียง" ที่นี่ หรือ ที่ไหน ก็ตาม เวลาที่มี การกระทบกัน ของ "วัตถุที่แข็ง" ย่อมเป็น "ปัจจัย" ให้ "เสียง" เกิดขึ้น แม้ว่า จะมี การได้ยิน หรือ ไม่ได้ยิน แต่ "ขณะ" ที่ "เสียง" ปรากฏ หมายความว่า มีการ "รู้" เสียง ที่ปรากฏใน "ขณะ" นั้น (ขณะนั้น) จะมี "เสียง" ปรากฏ โดยที่ "ไม่มีสภาพรู้" ไม่ได้
เพราะฉะนั้น "ลักษณะ" ของ "สภาพรู้" เป็นอย่างไร นี่ คือ "ผู้ที่จะหมดความสงสัย" ใน "สภาพธรรม" ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะ "หมดความสงสัย" ใน "ลักษณะ" ของ "สภาพรู้" ที่ "กำลังรู้เสียง" ทางหู ที่กำลัง "เห็น" สิ่งที่ปรากฏทางตา ที่กำลัง "คิดนึก" ที่กำลัง "เข้าใจ" ใน แต่ละ คำ ที่ "ได้ยิน" (เป็นต้น)
การอบรม เจริญ ปัญญา ในขั้นต้นเป็นการที่จะ รู้ "ลักษณะ" ของ "นามธรรม" ว่า ไม่ใช่ "รูปธรรม" ใน "ขณะที่กำลังปรากฏ" ปกติ ไม่ว่าจะ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ภพนี้ หรือว่า ใคร จะไปเกิด ในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ได้ฟังพระธรรม จากเทพ ในชั้นนั้นๆ ก็ตามแต่ การรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมเป็นการ รู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ "แต่ละขณะ" เพราะว่า ชีวิต ดำรงอยู่ ชั่วขณะหนึ่งๆ เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น การ รู้ "ความจริง" ก็ ต้อง รู้ ใน "ขณะที่กำลังปรากฏ" จริงๆ ถ้าเป็น "ขณะนี้" ก็คือ "รู้ในขณะนี้" เพราะเหตุว่า อนาคต ยังมาไม่ถึง อดีต ก็ผ่านไปแล้ว ถ้า "ขณะนี้" ล่วงไปอีก จนถึง อีกสองพันปี ข้างหน้า สภาพธรรมใด "ที่กำลังปรากฏ" ปัญญา ก็ จะต้อง รู้ สภาพธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน (ขณะที่กำลังปรากฏ) ใน "ขณะนั้น" ในภพนั้น ในชาตินั้น
เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ เรื่องที่จะ "รอ" แต่เป็น "เดี๋ยวนี้" ที่ "สติ" จะเกิด ระลึกรู้ "ลักษณะ" ของ สภาพธรรมที่ "กำลังปรากฏ" บางท่าน อาจจะเคยได้ยินเรื่องของการควร ที่จะมีความเพียร อบรม เจริญ ปัญญา "ในขณะนี้" เหมือน บุคคล ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่บนศรีษะ หมายถึง "ขณะนี้" (ไฟกำลังไหม้อยู่) ใน "ขณะที่ สติ ไม่เกิด" ไม่ใช่ว่า จะรอไป จนถึงสถานที่หนึ่ง สถานที่ใดเพื่อที่จะไป "ดับไฟ" ถ้า "ไฟ" กำลังไหม้อยู่ ก็คือขณะที่ "สติ" ไม่เกิด ขณะใด "ขณะนั้น" คือ ไฟกำลังไหม้อยู่ เพราะฉะนั้นการอบรม เจริญ ปัญญา จึงเป็น "ขณะนี้" เดี๋ยวนี้
ขออนุโมทนา
"ขณะใด" ที่ไม่มี "ลักษณะปรากฎ" ต่อ "สติสัมปชัญญะ" ขณะนั้น ก็คือ "หมด โดย ไม่รู้ เลย" ปรากฎ ด้วยดี กับ "สติสัมปชัญญะ" ด้วยดี คือ "ลักษณะ ที่เป็นธรรม จริงๆ " ขณะนั้น "ปรากฎ ความเป็น ธรรม" จะรู้ หรือ ไม่รู้ นั้น อีกเรื่องหนึ่ง หรือว่า จะรู้มาก น้อย แค่ไหน ก็เป็น "ขณะที่เป็นอย่างนั้น" จริงๆ เพราะฉะนั้น ก็คือ ชีวิต ธรรมดา ตามปกติ
ทรงแสดงสั้นมากแต่ ความเข้าใจธรรม ที่มี ไม่สามารถที่จะ "เข้าถึง ความจริง ของธรรม" ใน "ขณะ" ที่กำลังฟัง ไม่ว่ากาลไหน ในครั้งโน้น หรือครั้งนี้ หรือ ในครั้ง ต่อๆ ไป ก็สามารถจะ "เข้าใจตามความจริง" ว่า "ขณะนี้" แหละ เป็น "ธรรม" (เพราะความจริงถูก) ปกปิด ไว้ ด้วยการ เกิด ดับ ติดต่อ อย่างรวดเร็ว แม้ "ขณะ" ใกล้จะตาย ก็ยังไม่รู้ "ขณะ" ที่ตายเลย
ข้อความบางตอนจาก....ปวด..มากๆ ..ใกล้ตาย
ขออนุโมทนาค่ะ
ขณะที่ไฟกำลังไหม้ศรีษะขณะนั้นไม่รู้เลย แต่ธรรมมีอยู่ทุกขณะ ขณะไม่รู้เลยก็เป็นธรรม สติระลึกได้ทุกขณะก็เป็นธรรม บ่อยๆ เนื่องๆ ปัญญาจะได้ศึอษา เมื่อใดก็เมื่อนั้น ครับ
ถ้าไฟไหมศีรษะใคร..คงไม่มีใคร..รอไว้ก่อนไม่ รีบดับ ข้อความจากพระไตรปิฎก.... ขันธ์ เรา ตถาคตกล่าวว่า เป็นเพชฌฆาต ตนหนึ่ง สาระใน เบญจขันธ์นี้ไม่มี ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว มีสติ สัมปชัญญะ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลาย อย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ภิกษุเมื่อ ปรารถนา อจุติบท (นิพพาน) พึงละสังโยชน์ ทั้งปวง ทำที่พึ่งแก่ตน ประพฤติดุจบุคคลผู้มี ไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น ดังนี้
เชิญคลิกอ่าน.....
เบญจขันธ์เป็นผู้ฆ่า [เผณปิณฑสูตร]
อะไรเป็นไฟ และอะไรดับไฟ กาม เป็นไฟ และหนทางเดียวที่จะดับกิเลส คือ สติปัฏฐาน ซึ่งจะนำมาซึ่งการละกามโดยตัดขาด
เชิญคลิกอ่าน...
ขออนุโมทนาคะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑-หน้าที่ 123
สัตติสูตร
[๕๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระคาถาว่า ภิกษุพึงมีสติ เว้นรอบเพื่ออันละสักกายทิฏฐิ (ความยึดถือว่าเป็นเรา) เหมือนบุรุษถูกประหารด้วยหอก และเหมือนบุรุษที่ถูกไฟไหม้บนศีรษะ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์