สังขารมีอวิชชาเป็นปัจจัยอย่างไร [วิภังค์]
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 473
ว่าด้วยสังขารมีอวิชชาเป็นปัจจัยอย่างไร
ถามว่า ก็ข้อนี้ จะพึงทราบได้อย่างไรว่า สังขารทั้งหลายเหล่านั้นย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ตอบว่า รู้ได้เพราะความที่อวิชชามีสังขาร จึงมีจริงอยู่ บุคคลใดยังละอัญญาณ (ความไม่รู้) กล่าวคืออวิชชาในสัจจะ ๔ มีทุกข์เป็นต้นไม่ได้ บุคคลนั้นก็ยึดถือสังสารทุกข์ โดยความสำคัญว่าเป็นสุข ด้วยความไม่รู้ธรรมมีขันธ์เป็นอดีตเป็นต้นก่อน แล้วย่อมปรารภสังขาร แม้ทั้ง ๓ (มีปุญญาภิสังขารเป็นต้น) อันเป็นเหตุแห่งสังสารทุกข์นั้น ด้วยความไม่รู้ในทุกขสมุทัย เมื่อเขาสำคัญ ก็ย่อมปรารภสังขารทั้งหลายที่เป็นบริวารของตัณหา แม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยความเป็นเหตุแห่งสุข.
อนึ่ง เพราะความที่ไม่รู้ในนิโรธและมรรค บุคคลจึงมีความสำคัญในทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์) ในคติพิเศษแม้มิใช่ความดับทุกข์ และมีความสำคัญในพิธีกรรมทั้งหลายมีการบูชายัญ และบำเพ็ญตบะเพื่อให้เป็นเทวดาเป็นต้น แม้มิใช่ทางแห่งความดับทุกข์ ว่าเป็นทางดับทุกข์ เมื่อปรารถนาทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์) ก็ย่อมปรารภสังขารแม้ ๓ อย่าง โดยมุ่งหน้าพิธีกรรมมีการบูชายัญ และทำตบะเพื่อความเป็นเทวดา เป็นต้น
อีกอย่างหนึ่ง เพราะบุคคลนั้น ยังไม่ได้ละอวิชชาในสัจจะ ๔ นั้น จึงไม่รู้อยู่ซึ่งทุกข์ กล่าวคือ ผลแห่งบุญแม้ระคนด้วยโทษเป็นอเนก มีชาติ ชรา และมรณะเป็นต้น โดยความเป็นทุกข์พิเศษ ย่อมปรารภปุญญาภิสังขาร อันต่างด้วยกายสังขาร และวจีสังขารเพื่อบรรลุทุกข์นั้น เหมือนผู้ต้องการนางฟ้า (เทพอัปสร) ปราถนาเกิดเป็นเทพบุตรฉะนั้น และเมื่อบุคคลนั้น แม้ไม่เห็นผลบุญนั้น แม้สมมติว่าเป็นสุข ซึ่งถึงความเป็นทุกข์เพราะแปรปรวน อันยังความเร่าร้อนใหญ่ให้เกิดขึ้นในบั้นปลาย และความที่ผลบุญนั้นมีความสำราญน้อย ย่อมปรารภปุญญาภิสังขารมีประการตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ซึ่งมีผลบุญนั้นเป็นปัจจัย เหมือนตั๊กแตนบ่ายหน้าตกลงสู่เปลวประทีป และเหมือนบุคคล ผู้ติดใจในหยดน้ำผึ้ง ถึงกับเลียคมศัสตราที่เปื้อนน้ำผึ้ง ฉะนั้น
อนึ่ง เมื่อไม่เห็นโทษในธรรมที่มีวิบาก มีการเสพกาม เป็นต้น ย่อมปรารภอปุญญาภิสังขาร แม้เป็นไปด้วยทวาร ๓ เพราะสำคัญว่าเป็นสุข และเพราะความเป็นผู้ถูกกิเลสครอบงำแล้ว ดุจทารกเล่นอยู่ซึ่งคูถอันปฏิกูล ดุจผู้ต้องการตายเคี้ยวกินยาพิษ ฉะนั้น และเมื่อไม่หยั่งรู้ความทุกข์อันมีความแปรปรวนแห่งสังสาร แม้ในวิมานของความเป็นอรูป ก็ย่อมปรารภอาเนญชาภิสังขาร อันเป็นจิตตสังขารโดยวิปลาสมีความเที่ยง เป็นต้น ดุจคนหลงทิศ เริ่มเดินทางมุ่งหน้าไปสู่นครปิศาจ ฉะนั้น. เพราะความที่อวิชชามีอยู่. นั่นแหละสังขารจึงมี มิใช่เพราะความไม่มี ฉะนั้น ข้อนี้จึงทราบได้ว่า สังขารเหล่านี้ย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้ แม้คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเขลาตกอยู่ในอวิชชาแล้ว เพราะความไม้รู้ ย่อมปรุงแต่งปุญญาภิสังขารบ้าง ย่อมปรุงแต่งอุปุญญาภิสังขารบ้าง ย่อมปรุงแต่งอาเนญชาภิสังขารบ้าง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแลภิกษุละอวิชชาเสียแล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น เพราะการสำรอกอวิชชา เพราะความเกิดขึ้นแห่งวิชชา ภิกษุนั้นย่อมไม่ปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร ดังนี้
"อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"