ความจริงแห่งชีวิต [137] ปรมัตถธรรม ที่เป็น เหตุ ได้แก่ เจตสิก ๖ ประเภท
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตต่างกันโดยสัมปยุตตธรรมที่เป็น "เหตุ"
สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมนั้นจะเกิดขึ้นมาเองลอยๆ โดยไม่อาศัยปัจจัยอะไรเลยไม่ได้ ปรมัตถธรรมที่เป็นสังขารธรรมมี ๓ คือ จิต เจตสิก รูป จิตอาศัยเจตสิกเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้น และจิตบางดวงก็อาศัยเจตสิกและรูปเป็นปัจจัยเกิดขึ้น รูปอาศัยรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้น และรูปบางรูปก็อาศัยจิตและเจตสิกและรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้น ฉะนั้น จิตต่างกันโดยเหตุ คือ จิตบางดวงก็เกิดร่วมกับเจตสิกที่เป็นเหตุ และจิตบางดวงก็เกิดร่วมกับเจตสิกที่ไม่ใช่เหตุ
ปรมัตถธรรมที่เป็นเหตุนั้น ได้แก่ เจตสิก ๖ ดวงเท่านั้น คือ
โลภเจตสิกเป็นโลภเหตุ ๑
โทสเจตสิกเป็นโทสเหตุ ๑
โมหเจตสิกเป็นโมหเหตุ ๑
รวมเป็นอกุศลเหตุ ๓
อโลภเจตสิกเป็นอโลภเหตุ ๑
อโทสเจตสิกเป็นอโทสเหตุ ๑
ปัญญาเจตสิกเป็นอโมหเหตุ ๑
รวมเป็นโสภณเหตุ ๓
นอกจากเจตสิก ๖ ดวงนี้แล้ว สภาพธรรมอื่นทั้งหมดไม่ใช่เหตุปัจจัย เจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับจิตต่างก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เหตุปัจจัย คือ ไม่ใช่เป็นปัจจัยโดยเป็นเหตุ เพราะเหตุปัจจัยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในสภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจัยต่างๆ กันถึง ๒๔ ปัจจัย (โดยประเภทปัจจัยใหญ่ๆ) เจตสิก ๖ ดวงที่เป็นเหตุนั้น อุปมาเหมือนกับรากแก้วของต้นไม้ซึ่งเป็นเหตุให้ต้นไม้นั้นเจริญสมบูรณ์งอกงามมีดอกมีผลมากมายฉันใด เจตสิกที่เป็นเหตุ ๖ นี้ เมื่อเกิดขึ้นก็ทำให้สภาพธรรมทั้งหลายเจริญงอกงามและผลิตผลต่างๆ เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ยังมีอกุศลเหตุและกุศลเหตุ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วดับทั้งอกุศลเหตุและกุศลเหตุ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิก (อโมหะ) ที่เกิดกับจิตของพระอรหันต์จึงเป็นอัพยากตเหตุ คือ ไม่ใช่อกุศลเหตุและกุศลเหตุ
สภาพธรรมที่เป็นอัพยากตธรรมนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล ฉะนั้น วิบากจิต กิริยาจิต วิบากเจตสิก กิริยาเจตสิก รูป และนิพพานจึงเป็นอัพยากตธรรม เพราะไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล
เหตุ ๖ จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ
อกุศลเหตุ ๓ ได้แก่ โลภเจตสิก ๑ โทสเจตสิก ๑ โมหเจตสิก ๑
โสภณเหตุ ๓ ได้แก่ อโลภเจตสิก ๑ อโทสเจตสิก ๑ ปัญญาเจตสิก ๑
ควรสังเกตว่าไม่ใช้คำว่า กุศลเหตุ ๓ แต่ใช้คำว่าโสภณเหตุ ๓ เพราะกุศลเหตุเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบากซึ่งเป็นผล แต่โสภณเหตุซึ่งเป็นเหตุที่ดีนั้นเกิดกับกุศลจิตก็ได้ กุศลวิบากจิตก็ได้ และโสภณกิริยาจิตก็ได้ โสภณเหตุจึงไม่ได้เกิดแต่เฉพาะกับกุศลจิตเท่านั้น
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
ขอเชิญอ่านหรือดาวน์โหลดหนังสือ ...
ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์
เรียนท่านผู้รู้
จิตชาติวิบาก มีทั้งอเหตุกจิต และสเหตุกจิต ใช่หรือไม่อย่างไร ทำไมจึงบอกว่า อเหตุกจิต มี ๑๘ ประเภท ในชาติวิบาก เป็นอโสภณ แล้ว สเหตุกจิตอยู่ตรงไหนคะ
ขอบพระคุณค่ะ
เรียน ความเห็นที่ 1
ถูกแล้วครับ จิตชาติวิบาก มีทั้งอเหตุกจิต และสเหตุกจิต
แต่ในอเหตุกจิต ๑๘ มีจิต ๒ ชาติ คือ ชาติวิบาก ๑๕ ชาติ กิริยา ๓
อเหตุกจิตเป็นอโสภณจิต เพราะไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย
ส่วนสเหตุกที่เป็นวิบาก ได้แก่ มหาวิบาก ๘ รูปาวจรวิบาก ๕ อรูปาวจรวิบาก ๔ โลกุตตรวิบาก ๔ รวมเป็นสเหตุกวิบาก ๒๑ ประเภท
เรียน ความเห็นที่ 2
อเหตุกกุศลวิบาก ๘ ต่างจาก มหาวิบาก ๘ อย่างไร
ดิฉันอ่านไปอ่านมา เริ่มจะงงค่ะ
มหาวิบาก ๘ คือจิตที่คู่กับมหากุศลจิต ๘ ใช่หรือไม่
ขอบพระคุณค่ะ
เรียน ความเห็นที่ 4
อเหตุกกุศลวิบาก ๘ ต่างจากมหาวิบาก ๘ ตรงที่เป็นอเหตุกจิต ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เป็นอโสภณจิต มหาวิบาก ๘ เป็นผลของมหากุศลจิต ๘
ซึ่งคลิกอ่านรายละเอียดที่
เรียน ถามความเห็นที่ 5
คำว่า ปวัตติกาล หมายถึงอะไรคะ
ขอบพระคุณค่ะ
คำว่า ปวัตติกาล หมายถึง กาลที่ไม่ใช่ปฏิสนธิกาล และไม่ใช่จุติกาล ท่านแบ่งกาลของชีวิตสัตว์เป็น ๓ กาล
ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเรียกว่า ปฏิสนธิกาล
ขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น เรียกว่าจุติกาล
ขณะจิตในระหว่างกาลทั้ง ๒ เรียกว่า ปวัตติกาล
เรียน อาจารย์ประเชิญ
มหาวิบากจิต ๘ ให้ผลในปวัตติกาลอย่างไร กรุณายกตัวอย่างได้ไหมคะ
ขอบพระคุณค่ะ