อรรถกถาวิสาขาสูตร

 
Khaeota
วันที่  22 ม.ค. 2553
หมายเลข  15229
อ่าน  1,900

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 787

ขอเชิญอ่าน...

วิสาขาสูตร ว่าด้วยรักมีเท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น

อรรถกถาวิสาขาสูตรที่ ๘

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า วิสาขาย มิคารมาตุยา นตฺตา กาลกตา โหติ ได้แก่ เด็กหญิงผู้เป็นธิดาของบุตรแห่งมหาอุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขา ถึงแก่กรรม ได้ยินว่า เด็กหญิงนั้นสมบูรณ์ด้วยวัตร เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา เป็นผู้ไม่ประมาท ได้กระทำการขวนขวายที่ตนจะพึงทำ แก่ภิกษุและ ภิกษุณีทั้งหลาย ผู้เข้าไปยังบ้านของมหาอุบาสิกา ทั้งเวลาก่อนอาหาร และ หลังอาหาร. ปฏิบัติคล้อยตามใจของย่าตน ด้วยเหตุนั้น มหาอุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขา เมื่อออกจากเรือนไปข้างนอก ได้มอบหน้าที่ทั้งหมดแก่เด็กหญิงนั้นนั่นแล แล้วจึงไป และเธอก็มีรูปร่างน่าชมน่าเลื่อมใส ดังนั้น เธอจึงเป็นที่รักที่ชอบใจโดยพิเศษของวิสาขามหาอุบาสิกา เธอถูกโรค ครอบงำจึงถึงแก่กรรม. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล หลานของนางวิสาขามิคารมารดาผู้เป็นที่รักที่ชอบใจ ได้ถึงแก่กรรม

ลำดับนั้น มหาอุบาสิกาเมื่อไม่อาจจะอดกลั้นความโศก เพราะการ ตายของหลานได้ จึงเป็นทุกข์เสียใจ ให้คนเอาศพไปเก็บไว้ แล้วเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดว่า ไฉนหนอในเวลาเราไปเฝ้าพระศาสดา จะพึงได้ความยินดีแห่งจิต ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข วิสาขา มิคารมาตา ดังนี้เป็นต้น บรรดาบทเหล่านั้น

บทว่า ทิวาทิวสฺส แปลว่า ในกลางวัน อธิบายว่า ในเวลาเที่ยง พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบว่า นางวิสาขายินดียิ่งในวัฏฏะ เพื่อจะทรงทำความเศร้าโศกของเธอให้เบาบางลงด้วยอุบาย จึงตรัสคำมี อาทิว่า ดูก่อนวิสาขา เธอปรารถนาหรือ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวติกา แปลว่า มีประมาณเท่าใด ได้ยินว่า ในกาลนั้น คน ๗ โกฏิอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสถามว่า ดูก่อนวิสาขา คนในกรุงสาวัตถีที่ตายไป ทุกวันๆ วันละเท่าไร นางวิสาขาจึงทูลตอบว่า วันละ ๑๐ คนบ้าง พระเจ้าข้า ดังนี้เป็นต้น

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตีณิ แก้เป็น ตโย แปลว่า ๓ คน อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้แหละ

บทว่า อวิวิตฺตา แปลว่า ไม่ว่าง ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะประกาศความประสงค์ของ พระองค์ จึงตรัสว่า เธอ ๑ เป็นผู้ไม่มีผ้าเปียก ไม่มีผมเปียก เป็นบางครั้ง บางคราวบ้างหรือ พระองค์ทรงแสดงว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อนางวิสขา ถูกความเศร้าโศกครอบงำตลอดกาล เธอพึงมีผ้าเปียก มีผมเปียก โดยการลงน้ำ โดยเฉียดกับสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ของบุตรเป็นต้น ที่ตายไปมิใช่หรือ อุบาสิกาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเกิดความสังเวช ปฏิเสธว่า ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว เมื่อจะกราบทูลว่า จิตของตนกลับจากความ เดือดร้อนถึงสิ่งที่เป็นที่รักแด่พระศาสดา จึงกราบทูลว่า พอละพระเจ้าข้า ด้วยพวกบุตรและหลานซึ่งมีมากถึงเพียงนั้น สำหรับหม่อมฉัน

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่นางว่า ขึ้นชื่อว่าทุกข์นี้ มี สิ่งที่น่ารักเป็นเหตุ สิ่งที่น่ารักมีประมาณเพียงใด ทุกข์ก็มีประมาณเพียงนั้น เพราะฉะนั้น เธอผู้รักสุขเกลียดทุกข์ พึงให้จิตเกิดความสลดจากวัตถุที่เป็นที่รัก โดยประการทั้งปวง จึงตรัสคำมีอาทิว่า

ดูก่อนวิสาขา คนเหล่าใดมีสิ่งอันเป็นที่รัก ๑๐๐ คนเหล่านั้นก็มีทุกข์นับได้ ๑๐๐ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สต ปิยานิ ได้แก่ สิ่งอันเป็นที่รัก ๑๐๐ อาจารย์บางพวกกล่าว สต ปิย ดังนี้ก็มี. ก็ในคำนี้ นับตั้งแต่ ๑ จนถึง ๑๐ ชื่อว่ามีการนับเป็นประธาน ฉะนั้น บาลีจึงมาโดยนัยมี อาทิว่า ผู้ใดมีสิ่งที่เป็นที่รักนับ ๑๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์นับ ๑๐ แต่อาจารย์ บางพวกกล่าวโดยนัยมีอาทิว่า ผู้ใดมีสิ่งอันเป็นที่รักนับ ๑๐ ผู้นั้นก็เป็น ทุกข์นับ ๑๐ คำนั้นไม่ดี เพราะเหตุที่การนับตั้งแต่ ๒๐ จนถึง ๑๐๐ ชื่อว่า มีการนับเป็นประธานเหมือนกัน ฉะนั้น เพราะถือเอาเฉพาะสิ่งอัน เป็นที่รักซึ่งมีการนับเป็นประธานแม้ในข้อนั้น บาลีจึงมาโดยนัยมีอาทิว่า เยส โข วิสาเข สต ปิยานิ สต เตส ทุกฺขานิ ดังนี้. บาลีของ อาจารย์ทั้งปวงว่า ชนเหล่าใดมีสิ่งอันเป็นที่รักอันหนึ่ง ชนเหล่านั้นก็มี ทุกข์อันหนึ่ง ดังนี้ แต่บาลีว่า ทุกฺขสฺส ดังนี้ ไม่มี ก็ในฝ่ายนี้ เทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีรสเป็นอันเดียวกันเทียว เพราะฉะนั้น พึงทราบ บาลีซึ่งมีนัยตามที่กล่าวแล้วนั้นแล

บทว่า เอตมตฺถ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ ทั้งปวง ซึ่งอรรถนี้ว่า ทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกาย มีโสกะและปริเทวะ เป็นต้น มีสิ่งที่น่ารักเป็นเหตุ ย่อมปรากฏในเมื่อมีสิ่งที่น่ารัก ย่อมไม่ ปรากฏในเมื่อสิ่งที่น่ารักไม่มี จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น. คำแห่งอุทานนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ธรรมเหล่าใดคนหนึ่ง มี ลักษณะทำจิตของคนพาล ผู้ถูกความวอดวายแห่งญาติ โภคะ โรค ศีล และทิฏฐิถูกต้องแล้ว หม่นไหม้อยู่ในภายใน ให้เดือดร้อนก็ดี ความเศร้าโศกชนิดใดชนิดหนึ่ง ต่างโดยอย่างอ่อนและปานกลางเป็นต้นก็ดี ความรำพันมีลักษณะบ่นเพ้อด้วยวาจา อันแสดงถึงความเศร้าโศกที่ให้ตั้ง ขึ้น ของชนผู้ถูกความเศร้าโศกเหล่านั้นนั่นแล ถูกต้องแล้ว ให้ตั้งขึ้นก็ดี ทุกข์มีการบีบคั้นกาย ของบุคคลผู้มีกายอันโผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา กระทบแล้วก็ดี โทมนัสและอุปายาสเป็นต้น ที่ถือเอาด้วย วา ศัพท์ ซึ่ง เป็นวิกัปปัตถะ อันมิได้อธิบายไว้เช่นนั้น ซึ่งมีรูปเป็นอเนก คือมีอย่าง ต่างๆ กัน โดยความต่างแห่งนิสัยก็ดี ย่อมปรากฏ คือย่อมเกิดขึ้นใน สัตวโลกนี้. สัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ย่อมอาศัยคืออิงพึ่งพิงสัตว์และสังขาร อันเป็นที่รัก คือมีชาติเป็นที่รัก ได้แก่ทำให้เป็นปัจจัยเกิดขึ้น คือบังเกิด ขึ้น เมื่อวัตถุอันเป็นที่รักตามที่กล่าวแล้วนั้น คือ เมื่อสัตว์และสังขารอัน เป็นที่รักไม่มี ได้แก่ ละฉันทราคะ อันกระทำความเป็นที่รัก ความเศร้าโศกเป็นต้นเหล่านั้น ก็ย่อมไม่เกิดในกาลบางคราว สมจริงดังคำที่ท่าน กล่าวไว้ว่า ความเศร้าโศกย่อมเกิดแต่สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ฯลฯ ความเศร้าโศกย่อมเกิดแต่อารมณ์อันเป็นที่อันเป็นที่รักเป็นต้น และว่า การทะเลาะ การวิวาท ความร่ำไร และความ เศร้าโศก อันเกิดแต่สัตว์ และสังขารอันเป็นที่รัก ย่อมมาด้วยความตระหนี่ ดังนี้เป็นต้น ก็ในที่นี้ ท่านกล่าวด้วยลิงควิปลาสว่า ปริเทวิตา วา ทุกฺขา วา อนึ่ง เมื่อควรจะกล่าวว่า ปริเทวิตานิ วา ทุกฺขานิ วา ดังนี้ พึงทราบ ว่า ท่านทำการลบวิภัตติเสีย

บทว่า ตสฺมา หิ เต สุขิโน วีตโสกา ความว่า เพราะเหตุที่ความเศร้าโศกเป็นต้น อันเกิดแต่สัตว์และสังขาร อันเป็นที่รัก ย่อมไม่มีแก่ชนเหล่าใด ฉะนั้น ชนเล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า มีความสุข และปราศจากความเศร้าโศก ก็คนเหล่านั้นคือใคร คือ ชนผู้ไม่มีสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ อธิบายว่า ก็ชน เหล่าใด คือพระอริยะย่อมไม่มีสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก คือภาวะเป็น ที่รัก ว่าบุตรก็ดี ว่าพี่น้องชายก็ดี ว่าพี่น้องหญิงก็ดี ว่าภริยาก็ดี ไม่มี ในโลกไหนๆ คือในสัตวโลก และในสังขารโลก เพราะปราศจาก ราคะโดยประการทั้งปวง คือสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ได้แก่ ความรัก ไม่มีในสังขารโลกว่า นี้เป็นของเรา เราได้อยู่ เราก็ได้ซึ่งความสุขชื่อนี้ ด้วยสิ่งนี้

บทว่า ตสฺมา อโสก วิรช ปฏฺยาโน ปิย น กยิราถ กุหิญฺจิ โลเก ความว่า ก็เพราะเหตุที่สัตว์ผู้ปราศจากความเศร้าโศก ชื่อว่ามีความสุข เพราะปราศจากความเศร้าโศกนั่นแล จึงชื่อว่า ไม่มี ความรักในอารมณ์ไหนๆ เพราะฉะนั้น บุคคลเมื่อปรารถนาความไม่เศร้า โศก คือภาวะไม่มีความเศร้าโศก เพราะไม่มีความเศร้าโศกดังกล่าวแล้ว แก่ตน ชื่อว่าผู้ปราศจากธุลี คือภาวะที่ไม่มีธุลี เพราะปราศจากธุลีคือ ราคะ ได้แก่ความเป็นพระอรหัต คือพระนิพพาน อันได้นามว่าอโสกะ และว่าวิรชะ เพราะไม่มีความเศร้าโศก และเพราะเหตุแห่งความไม่มีธุลี คือราคะเป็นต้น จึงเกิดฉันทะด้วยอำนาจความพอใจในกุศลคือความ ปรารถนาเพื่อจะทำ ไม่พึงทำ คือไม่พึงให้สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก คือความรัก ให้เกิดในธรรมมีรูปเป็นต้น โดยที่สุดแม้ในธรรมคือสมถะ และวิปัสสนาในโลกไหนๆ สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย แม้ธรรม พวกเธอก็ควรละเสีย จะป่วยกล่าวไปถึงอธรรมเล่า

จบอรรถกถาวิสาขาสูตรที่ ๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 26 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2564

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม...

ประวัตินางวิสาขามิคารมารดา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ