เค้าบอกว่าลูกผู้ชายบวชแล้วพ่อแม่จะได้บุญ แล้วลูกหญิงละ
เค้าบอกว่าลูกชายบวชแล้วพ่อแม่จะได้บุญ แล้วลูกหญิงละ เค้าจะทำอย่างไรที่จะทำให้พ่อแม่ได้บุญบ้าง
ควรทราบว่าบุญอยู่ที่จิต ถ้าจิตเป็นกุศลขณะนั้นเป็นบุญ และบุญ มีถึง ๑๐ ประการ มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น การตอบแทนคุณของพ่อแม่ไม่ใช่อยู่ที่การบวช แต่การ ตอบแทนพระคุณของท่านด้วยการเลี้ยงดูปรนนิบัติท่าน หรือการยังให้ท่านตั้งมั่นใน ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ชื่อว่าการตอบแทนคุณของท่าน แม้ไม่ได้บวชก็ตอบแทนพระคุณท่านได้ครับ
ขอเชิญคลิกอ่าน
แค่ลูกเชื่อฟังพ่อแม่...พ่อแม่ก็มีความสุขแล้วครับ
ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ
จิตของใครก็ของคนนั้น กุศลของใครก็ของคนนั้นครับ ลูกทำกุศล กุศลก็เป็นของลูก พ่อแม่ทำกุศล กุศลก็เป็นของพ่อแม่ เช่นเดียวกับบาป หากลูกทำบาป พ่อแม่จะได้บาป ด้วยไหม ก็ไม่ใช่ครับ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน
ข้อความจากพระไตรปิฏกกล่าวว่า ...
บุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยัง มารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความ ตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทายังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา ให้ สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดา บิดา.
เชิญคลิกอ่าน ...
การตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ไม่ใช่อยู่ที่การบวชเลยนะครับ แต่การตอบแทนบุญคุณท่านอยู่ที่การให้ท่านเข้าใจธรรมะ ตอบแทนบุญคุณท่านโดยตรงๆ เลย... แล้วอีกอย่างหนึ่ง (ในความคิดเห็นของผมและผมเชื่อ) ผมเชื่อเลยครับว่าการบวชนั้น...ไม่ได้ส่งผลต่อผู้ใดเลย นอกจากตัวของผู้บวชเอง และตัวผู้บวชเองก็ต้องปฏิบัติตนให้ถูกและควรด้วย (ไม่ว่าจะเป็นการบวชเณร บวชพระ...โดยเฉพาะการบวชหน้าไฟ ตอนที่ผมได้รู้จักครั้งแรก ผมยังงงเลยว่า เอ๊ะ! มีพิธีแบบนี้ด้วย แบบนี้ใครตายแต่ละครั้ง ถ้าตระกูลนั้นมีลูก หลานผู้ชายคนเดียวก็คงต้องจับโกนหัวเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ แทนที่ผมจะเห็นว่าเป็นเรื่องชื่นชมยินดี ผมว่ามันเป็นเรื่องกลัวแต่ว่า "กลัวว่าคนตายจะตกนรกมากกว่า"/ประมาณว่าประเภทที่แบบไม่ทันไรเดี๋ยวก็สึก) เพราะอย่างไีรก็ตาม ในสมัยพุทธกาลนั้น ผู้คนจะบวชก็ต่อเมื่อ เห็นดวงตาธรรม หรือ อยากจะบรรลุถึงนิพพาน จึงออกบวช พอมาถึงตรงนี้แล้ว ผมขอฟันธงเลยว่า คนเรายุคปัจจุบันนี้ "บวช...เพราะเป็นประเพณี ไม่ใช่เพราะศาสนา" สิ่งที่ผมเชื่ออยู่เสมอคือ แม้ว่าเราจะไม่ได้บวชเลยในชีวิตนี้ (เป็นฆราวาส=บุคคลสามัญธรรมดา) เรา...ก็สามารถบรรลุถึงนิพพานได้ สุดท้ายนี้ก็ขออนุโมทนา สำหรับผู้ที่ "รู้ชัดแจ้ง ทั้งต้น-สาย-ปลาย-เหตุ ไม่ใช่เพราะเขาบอกต่อๆ กันมาโดยไม่สืบหาต้นเหตุเสียก่อน" ด้วยนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย และ ท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยเศียรเกล้า
ขออนุโมทนาบุญครับ
ผมอาจใช้คำพูดที่แรงไปหน่อย ขออภัยด้วยนะครับ เพราะความที่ผมอายุน้อยมาก ใน บรรดาพี่น้องทั้งหมด เรียกได้ว่า เป็นคนเกือบสุดท้ายเลย ทีนี้เวลาที่ผมอยากจะแสดง พฤติกรรมอะไรบางอย่างก็รู้สึกเกรงๆ น่ะครับ มันเลยเหมือนถูกกดดันมากขึ้นๆ น่ะครับ อีก อย่าง เวลาผมพูดอะไร ก็มักจะไม่ค่อยมีใครฟังผมด้วย
คนที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นกิเลสของตัวเองและไม่ได้สะสมอุปนิสัยในการสละเพศคฤหัสถ์ แล้วบวช นั้น ไม่ใช่ผู้ที่จริงใจและไม่ใช่ผู้ตรง เพราะถามว่าบวชทำไม ถ้าตอบว่าเพราะเหตุนั้นๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้เข้าใจพระธรรมและรู้อัธยาศัยของตนเองว่าเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศภิกษุตามพระธรรมวินัยแล้ว สมควรบวชไหม การบวชเป็นภิกษุไม่ใช่เป็นอยู่อย่างสบายให้ผู้คนกราบไหว้ แต่เพราะเป็นผู้ที่เห็นกิเลสและเห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าหนทางเดียวที่จะขัดเกลากิเลสก็ด้วยความเข้าใจพระธรรมจึงบวชเพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ฉะนั้น การดำรงชีวิตของคฤหัสถ์และบรรพชิตจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อ่านเพิ่มเติม