เจริญเมตตาไม่มีประมาณ
ผู้ใดมีสติเฉพาะหน้า
เจริญเมตตาไม่มีประมาณ
สังโยชน์ของผู้เห็นความสี้นแห่งอุปธินั้น
ย่อมเบาบาง
ผู้ที่ฟังพระธรรม อบรมปัญญา มีปรกติเจริญสติฯ เข้าใจถูกว่าสติเป็นอนัตตา แม้สภาพธรรมจะมีปรากฏเฉพาะหน้า แต่เมื่อไม่มีปัจจัยให้ระลึก ขณะนั้นก็คือหลงลืมสติ ซึ่งขณะที่หลงลืมสติ มีมากกว่า ขณะที่สติเกิด ในชีวิตประจำวัน เราหลงลืมสติโดยไม่รู้ตัว หลังเห็น หลังได้ยิน.. ส่วนใหญ่อกุศลจิตเกิด คิดถึงคน , สัตว์ เป็นไปกับเรื่องราว ด้วยความยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ใจหวั่นไหว ไม่มั่นคง เพราะสั่งสมอกุศล มามากกว่า กุศล แต่กระนั้น การคิดถึงสัตว์ บุคคลของผู้ที่สั่งสมกุศลมามาก มีปัญญามาก กำลังอบรมกุศลอยู่ สติก็เกิดได้มาก ระลึกเป็นไปในสัตว์ บุคคลโดยอุบายอันแยบคาย มีญาณเครื่องพิจารณาว่าควรอบรมเมตตาในสัตว์ทั้งหลายให้มากขึ้นทีละหนึ่งๆ ..ๆ ...ๆ ....ไปจนถึงไม่มีประมาณ จนเป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยเมตตาอันไพบูลย์ คือ เจริญจนได้ฌาน มีวิหารธรรมอันเป็นสุข สงบระงับจากกิเลส และเมื่อได้ฟัง ได้เข้าใจพระธรรมด้วย ปัญญาของเขาย่อมค่อยๆ ขัดเกลา สังโยชน์ ทั้งหลายให้เบาบาง เพราะได้รู้หนทางแห่งการสิ้น อุปธิคือ การฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้าตามความเป็นจริง ส่วนผู้ที่เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจพระธรรม ยังอีกไกลกว่าจะมีเมตตาถึงระดับที่ไม่มีประมาณได้ แต่เริ่มอบรมได้ด้วยความเข้าใจประโยชน์ของเมตตา ความเห็นโทษของอกุศล เช่น โทสะมานะ เป็นต้น เมื่อเข้าใจพระธรรมขึ้น ปัญญาเจริญขึ้น กุศลบริวารทั้งหลายรวมทั้งเมตตา ย่อมจะค่อยๆ เจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยเป็นปกติ คือ เป็นไปตามกำลังของปัญญานั่นเองครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ
(ปล. ผมจะหาอ่านข้อความที่คุณหมอนำมาโพสต์เพิ่มเติมได้จากเล่มไหนครับ)
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณ chaiyut
คุณเขียนแสดงความคิดเห็นได้ดีมากครับ
ข้อความจาก พุทธศาสนภาษิต (เล่ม ๒)
หลักสูตรนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท
คณะกรรมการแผนกตำรา
มหามงกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
(พุทธ) อง. อฏฐก ๒๓/๑๕๒ซึ่งอ้างอิงจากพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เมตตสูตรขอเชิญคลิกอ่านได้ที่นี่ครับ .... เมตตา [เมตตสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลอุปการะเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อกุศลธรรม แม้แต่ในเรื่องของเมตตา ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี และเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่ควรมี ควรอบรมให้มีขึ้น แทนที่จะโกรธกันหรือไม่พอใจกัน เมตตาเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าความโกรธ (ถ้าไม่ได้สะสมมา ก็ไม่ง่าย) เพราะโกรธต้องหาเรื่องที่จะต้องโกรธ ย้อนคิดถึงเรื่องที่ทำให้ตนเองโกรธ แต่ถ้าเป็นเมตตาแล้ว ใจเบาสบาย ไม่หนักด้วยอำนาจของโทสะ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมแล้ว นับวันจะมีแต่พอกพูนอกุศลให้มีมากขึ้นพอกพูนความไม่รู้ต่อไปอีกนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีปัญญา ก็ย่อมไม่สามารถดับหรือทำลายกิเลสใดๆ ได้เลย, หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อดับกิเลสทั้งหลาย นั้น มีหนทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา ซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก็ได้ดำเนินตามหนทางนี้มาแล้ว ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ , คุณ chaiyut และ ทุกๆ ท่านครับ...