วจีทุจริต
ได้ย้อนอ่านกระทู้นี้แล้ว คลิกอ่านที่นี่...จะละเว้นวจีทุจริตได้อย่างไร
เจอว่าถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ย่อมมีวจีทุจริตอยู่ หมายความว่า พระอริยบุคคลอย่างพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังมีวจีทุจริตอยู่เหรอคะ คือ เข้าใจมาตลอดว่าถ้าเป็นพระอริยบุคคลแล้วจะไม่ละเมิดอกุศลกรรมเลยน่ะค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
วจีทุจริตมี 4 ประการคือ
การพูดเท็จ การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียดและการพูดเพ้อเจ้อ
ผู้ที่เป็นปุถุชนยังไม่สามารถละวจีทุจริต 4 ประการได้คือเมื่อมีเหตุปัจจัยก็สามารถเกิดวจีทุจริตประการใดประการหนึ่งได้ครับ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันสามารถละการพูดเท็จ และการพูดส่อเสียดได้ครับ พระสกทาคามีก็เช่นกันสามารถละการพูดเท็จ การพูดคำส่อเสียดได้ พระอนาคามีสามารถละวจีทุจริตได้คือละการพูดเท็จ ละกาารพูดส่อเสียด ละการพูดคำหยาบ แต่ยังละการพูดเพ้อเจ้อไม่ได้ ส่วนพระอรหันต์เท่านั้นที่จะละการพูดเพ้อเจ้อและวจีทุจริตทั้งหมดได้ครับ
ที่สำคัญแม้พระอริยบุคคลที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ แม้ท่านจะยังละวจีทุจริตในบางประการไม่ได้ แต่วจีทุจริตที่ท่านพูดออกมา เช่น พูดเพ้อเจ้อ แต่การพูดคำพูดเพ้อเจ้อของท่านไม่เป็นปัจจัยให้ต้องตกนรกหรือไปอบายภูมิ คือ ไม่เป็นอกุศลกรรมบถที่ครบองค์ที่จะต้องไปอบายครับ รวมทั้งการพูดคำหยาบของพระโสดาบันและพระสกทาคามีก็ไม่ได้ถึงกับรุนแรงทำให้ต้องไปอบายครับ เพราะฉะนั้นวจีทุจริตของพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์แม้ยังมีอยู่แต่ไม่มีกำลังมาก และไม่ถึงล่วงกรรมเป็นอกุศลกรรมบถที่จะทำให้ไปอบายภูมิครับ ต่างจากปุถุชนที่ยังมีวจีทุจริต 4 ประการครบและยังมีเหตุปัจจัยให้สามารถพูดในสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นวจีทุจริต 4 มีกำลังคือสามารถพูดเป็นกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถครบองค์และเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิได้ครับ ต่างจากพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์แม้ท่านมีวจีทุจริตบางข้อ แต่วาจาที่เป็นอกุศลของท่านนั้นไม่มีกำลังมาก เหมือนปุถุชนและไม่เป็นเหตุไปอบายภูมิครับ
ในชีวิตประจำวันจึงควรพิจาณาด้วยปัญญาและเห็นโทษของวาจาที่พูดกัน แม้จะยังละวจีทุจริต 4 ประการไม่ได้ แต่ก็ค่อยๆ เห็นโทษของวาจาที่พูดประการต่างๆ ได้ อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนและผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมครับ ปัญญานั่นเองที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง แม้แต่การใช้วาจาในการดำเนินชีวิตครับ เริ่มจากการฟังการศึกษาพระธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาจะขัดเกลากาย วาจาซึ่งเป็นไปตามกำลังของปัญญา
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระโสดาบันมีศีล 5 บริสุทธิ์ ท่านไม่มีทางล่วงศีล 5 ท่านปิดประตูอบายภูมิแล้ว และกิเลสที่ท่านละแล้ว จะไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏฏ์ ท่านละคำพูดหยาบไม่ได้ ละการพูดเพ้อเจ้อไม่ได้ ส่วนพระอรหันต์ละวจีทุจริตได้ทั้งหมดเลยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องทราบว่า ผู้ที่หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ดับกิเลสได้ทั้งหมด ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนพระอริยบุคคลขั้นต่ำกว่านั้น ยังเป็นผู้มีกิเลส ยังมีเหตุปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่มีกำลังเหมือนกับปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เพราะเหตุว่ากิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ นั้น ดับได้อย่างเด็ดขาดตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลทุกขั้นจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีก และถ้าบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง
จากข้อความในอรรถกถาปเจตนสูตร แสดงว่า อกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการนั้นพระอริยบุคคลขั้นใด ละอกุศบกรรมบถประเภทใดได้บ้าง ดังต่อไปนี้ [เล่มที่ 34]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่มที่ ๓๔ หน้าที่ ๔๕
อกุศลกรรมบถ ๖ ข้อเหล่านั้น คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน มิจฉาจาร มุสาวาทปิสุณาวาจา มิจฉาทิฏฐิ พระอริยบุคคล ย่อมละได้ ด้วยโสดาปัตติมรรค, สองอย่าง คือ ผรุสวาจา และ พยาบาท จะละได้ด้วยอนาคามิมรรค, สองอย่าง คืออภิชฌา สัมผัปปลาปะ จะละได้ด้วยอรหัตตมรรค. ดังนั้น การที่จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสไปตามลำดับนั้น จนกระทั่งดับได้ในที่สุดนั้น ต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ กิเลสที่มีมาก ต้องมีปัญญา ถึงจะดับกิเลสได้ "ปัญญาเป็นเครื่องละล้างความไม่รู้ และอกุศลธรมทั้งหลาย" ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ก็ไม่สามารถดำเนินไปถึงซึ่งการดับกิเลส ได้
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอเรียนถามเพิ่มเติมว่า..วจีทุจริต (มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะ) ที่มีกำลังระดับไหน จึงเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิคะ? อยากทราบเพื่อจะได้เกรงกลัวต่อบาป และสำรวมวาจาให้มากยิ่งขึ้นค่ะ
เรียนความเห็นที่ 8
มุสาวาท ที่เป็นเหตุให้ต้องไปอบายภูมิคือครบองค์กรรมบถ มีเจตนาพูดเท็จและผู้อื่นเข้าใจในเรื่องที่เราพูดเท็จด้วย ที่สำคัญที่สุดคือหักรานประโยชน์ของผู้อื่น คือทำลายประโยชน์ของผู้อื่น ผู้ที่เรากล่าวเท็จ เช่น เมื่อพูดเท็จแล้วคนนั้นเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงและทำลายประโยชน์เขาทำให้เขาเดือดร้อนประการต่างๆ อันนี้เป็นมุสาวาทที่ครบกรรมบถจนถึงทำลายประโยชน์ผู้อื่น สามารถไปอบายภูมิได้ครับ
มุสาวาทนั้น มีองค์ ๔ คือ
๑. อตถ วตฺถุ เรื่องไม่แท้
๒. วิสวาทนจิตฺต จิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อน
๓. ตชฺโช วายาโม ความพยายามเกิดจากจิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อนนั้น
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานน คนอื่นรู้เรื่องนั้น.
ปิสุณาวาจา การพูดส่อเสียด ก็คือครบกรรมบถ ก็ไปอบายภุมิได้ครับ เช่น มีเจตนาที่ส่อเสียด พูดคำส่อเสียด สุดท้ายทำให้ทำให้เขารู้เรื่องนั้นและแตกกันก็ทำให้ไปอบายภูมิได้ครับ
ปิสุณาวาจานั้น มีองค์ ๔ คือ
๑. ภินฺทิตพฺโพ ปโร ผู้อื่นที่พึงให้แตกกัน
๒. เภทปุเรกฺขารตา มุ่งให้เขาแตกกันว่า คนเหล่านี้จักเป็นผู้ต่างกัน และแยกกันด้วยอุบายอย่างนี้ หรือ ปิยกมฺยตา ประสงค์ให้ตนเป็นที่รักว่า เราจักเป็นที่รัก จักเป็นที่ไว้ว่างใจ ด้วยอุบายอย่างนี้
๓. ตชฺโช วายาโม ความพยายามที่เกิดแต่ความมุ่งให้เขาแตกกันนั้น
๔. ตสฺส ตทตฺถวิชานน ผู้นั้นรู้เรื่องนั้น.
ผรุสวาจา การกล่าวคำหยาบก็เช่นกันต้องครบกรรมบถ
ผรุสวาจานั้น มีองค์ ๓ คือ
๑. อกฺโกสิตพฺโพ ปโร คนอื่นที่ตนด่า
๒. กุปิตจิตฺต จิตโกรธ
๓. อกฺโกสนา การด่า
มีเจตนาที่จะกล่าวคำพูดด้วยจิตโกรธ แล้วพูดคำหยาบออกไปกับผู้อื่น สัมผัปปลาปะ การพูดเพ้อเจ้อก็เช่นกันจะไปอบายได้ต้องครบกรรมบถครับ แต่ที่สำคัญต้องทำลายประโยชน์ผู้อื่นนั้นด้วย เช่น พูดเพ้อเจ้อแล้วทำให้เขาเดือดร้อน เป็นต้น
สัมผัปปลาปะนั้น มีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ ความมุ่งหน้าที่จะพูดถ้อยคำไร้ประโยชน์ มีเรื่องสงความภารตะ และเรื่องการลักพานางสีดา (เรื่องรามเกียรติ์) เป็นต้น ๑ การกล่าวถ้อยคำชนิดนั้น ๑
ดังนั้นไม่ว่าจะกล่าวด้วยวาจาใด แม้จะไม่ครบกรรมบถแต่เป็นอกุศล พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญครับ ค่อยๆ เริ่มจากการเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นผู้สำรวมวาจาเป็นไปในทางที่ดีขึ้นครับ
ขออนุโมทนา
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ พวกเดียรถีย์ให้นางสุนทรี มาทำลายพุทธศานาด้วยการพูดเท็จ พูดส่อเสียด ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า นางตายไปตกนรก ฯลฯ คนที่พูดเท็จจะไม่ทำชั่วในที่ลับไม่มี ค่ะ
"..ไม่ว่าจะกล่าวด้วยวาจาใด แม้จะไม่ครบกรรมบถแต่เป็นอกุศล พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญครับ ค่อยๆ เริ่มจากการเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นผู้สำรวมวาจาเป็นไปในทางที่ดีขึ้น.."
ขอบพระคุณ อ.ผเดิม อย่างสูง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.ผเดิม และทุกๆ ท่าน นะคะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18250 ความคิดเห็นที่ 10 โดย wannee.s
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ พวกเดียรถีย์ให้นางสุนทรี มาทำลายพุทธศานาด้วยการพูดเท็จ พูดส่อเสียด ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า นางตายไปตกนรก ฯลฯ คนที่พูดเท็จจะไม่ทำชั่วในที่ลับไม่มี ค่ะ
เคยได้ยินว่า"คนที่พูดโกหกจะไม่ทำความชั่ว (อื่น) ไม่มี" แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นว่า "ผู้กล้าพูดโกหกที่จะไม่ทำ (มี) ความชั่ว (อื่นซ่อนอยู่เป็น) ไม่มี" อยากได้ผู้รู้บาลีถึงรากภาษาอักษรมาช่วยแปลให้ฟังหน่อย แต่ความเห็นส่วนตัวดูจะเป็นคำแปลที่ฟังแล้วหนักไปนิดหนึ่ง เพราะดูอย่างเด็กอาจจะทำผิดเพราะเหตุของวัยที่ความคิดยังไม่รอบถ้วน อาจทำตามเพื่อนหรืออาจแค่แม่สั่งให้อยู่บ้านแต่อาจจะหลบไปเล่น ซึ่งไม่ใช่ความชั่วอะไร แต่อาจจะถือเป็นความผิดที่ไม่ทำตามคำสั่ง แล้วก็กลัวแม่จะลงโทษ จึงโกหกไปตามสัญชาตญาณปกป้องตัวเอง
หรืออย่างที่เขาพูดกัน "โกหกสีขาว" ระหว่างหมอกับคนไข้โรคร้ายใกล้เสียชีวิตเพื่อให้คนไข้สบายใจ จะได้ต่ออายุออกไปอีกด้วยเจตนาดีเกรงว่าคนไข้จะช้อคตายเมื่อบอกความจริง ประการนี้จะสรุปอย่างไรและควรจะทำประการใดจึงจะดีที่สุด อาจต้องการสื่อเพื่อปรามว่าถ้ากล้า (เจตนา) โกหกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ก็น่าจะต้องทำความผิดอื่นหรืออาจถึงขั้นเป็นความชั่วอื่นเลยก็อาจเป็นได้จึงต้องมาโกหก เพราะถ้าทำถูกต้องทุกอย่างแล้วจะมาโกหกทำไม เพื่อจะไม่ให้ประมาทด้วยมองเห็นการโกหกเป็นเรื่องเล็กน้อย น่าจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า?
เรียนความเห็นที่ 13
พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะ ความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจากคำแปลในพระไตรปิฎก ได้ตรัสไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 165
๕.สัมปชานมุสาวาทสูตร
ว่าด้วยสัมปชานมุสาวาท
[๒๐๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลล่วงธรรมอย่างหนึ่งแล้ว เรากล่าวว่าบาปกรรมไรๆ อันเขาจะไม่พึงทำไม่มีเลย ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน คือสัมปชานมุสาวาท. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บาปกรรม ที่สัตว์ผู้เป็นคนมักพูดเท็จ ล่วงธรรมอย่างหนึ่งแล้ว ข้ามโลกหน้าเสียแล้ว จะไม่พึงทำ ไม่มีเลย
สัมปชานมุสาวาท แปลว่า การกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ คือรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จริงก็ยังพูดได้ ทั้งๆ ที่รูอยู่ก็ยังพูด อันเป็นสิ่งที่ควรละอายแม้เรื่องเล็กน้อยยังทำได้ ไม่ต้องกล่าวถึงอกุศลธรรมใหญ่เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมก็สามารถล่วงอกุศลกรรม ทำบาปใหญ่ๆ ได้ครับ เหตุเพราะทั้งที่รู้อยู่ก็ยังกล่าวคำโกหก ไม่มีความละอายแม้ในเรื่องเล็กน้อยครับ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 264
พ. ดูก่อนราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่ ก็เป็นของที่เขาทิ้งเสียแล้ว เหมือนกันฉะนั้น
บุคคลผู้มักพูดเท็จ พูดโกหก ที่จะไม่ทำอกุศลกรรมอย่างอื่นเป็นไม่มี
เพราะเหตุว่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะต้องพูดเท็จ ยังพูดได้ จึงไม่ต้องพูดถึงอกุศลกรรมอย่างอื่นที่เขาจะไม่ทำ พระธรรมเทศนาในเรื่องนี้ จึงเป็นเครื่องเตือนสติได้เป็นอย่างดี เตือนไม่ให้ประมาทโดยประการทั้งปวง เพราะตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล จะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเมื่อมีเหตุปัจจัย ย่อมล่วงศีลได้ ทำอกุศลกรรมประการต่างๆ ได้ ถ้าเหตุปัจจัยพร้อม ดังนั้นอกุศลแม้เล็กน้อย ก็พึงเห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย ไม่ควรสะสมให้มีมากขึ้น ควรที่จะละอาย และเกรงกลัวต่ออกุศล และถอยกลับจากอกุศลให้เร็วที่สุด แล้วสะสมเฉพาะสิ่งที่ดีเท่านั้น ครับ.
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ข้อความหนึ่งจากเนมิชาชาดก มีว่า ... แต่นั้น มาตลีเทพสารถียังประเทศนั้นให้อันตรธาน ขับรถไปข้างหน้า. สัตว์นรกทั้งหลายเหยียบแผ่นดินเหล็ก ๙ โยชน์ ลุกโชติช่วง. นายนิรยบาลติดตามไปประหารแข้งด้วยท่อนเหล็ก อันลุกโพลงประมาณเท่าลำตาลล้มลง โบยด้วยท่อนเหล็กนั้น ให้เรี่ยรายเป็นจุรณวิจุรณ.
พระราชาเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงสะดุ้งกลัว เมื่อจะตรัสถามมาตลีเทพสารถี จึงตรัสคาถาว่า สัตว์นรกเหล่านี้มีร่างกายลุกโพลง เดินเหยียบแผ่นดินเหล็ก และนายนิรยบาลโบยด้วยท่อนเหล็กแดง ความกลัวปรากฏแก่เรา เพราะได้เห็นความเป็นไปของสัตว์นรกเหล่านั้น. ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ทำบาปอะไรไว้ จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อนเหล็กนอนอยู่.
มาตลีเทพสารถีทูลพยากรณ์พระดำรัสถาม ตามที่ทราบวิบากแห่งสัตว์ผู้ทำบาปทั้งหลาย แด่พระราชาผู้ไม่ทรงทราบว่า สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีบาปธรรม เบียดเบียน ด่ากระทบ ชายหญิงผู้มีกุศลธรรม.
สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรมแล้ว จึงถูกเบียดเบียนด้วยท่อนเหล็กนอนอยู่.
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
[เล่มที่ 63] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 219