โอปปาติกะ คือ อะไรหรือครับ?

 
Chameza007
วันที่  11 พ.ค. 2554
หมายเลข  18345
อ่าน  105,034

โอปปาติกะ คืออะไรหรือครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอกล่าวถึงการกำเนิดของสัตว์ครับ

การกำเนิดของสัตว์มี ๔ ประเภทดังนี้

๑. อัณฑชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่

๒. ชลาพุชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์

๓. สังเสทชะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล

๔. โอปปาติกะ กำเนิดของสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที โดยฉับพลัน

อัณฑชะ คือเหล่าสัตว์ที่เกิดในไข่ เรียกว่า อัณฑชะ เช่น ไก่ เป็ด เป็นต้น

ชลาพุชะ คือเหล่าสัตว์ที่เกิดในครรภ์ เรียกว่า ชลาพุชะ เช่น มนุษย์ เป็นต้น

สังเสทชะ คือเหล่าสัตว์ที่เกิดในเหงื่อไคล หมายถึงเกิดในสิ่งสกปรก เช่น เกิดในของบูดเน่า หรือในน้ำสกปรก ก็เกิดเป็นแมลงที่เป็นตัวอ่อน เป็นต้น

โอปปาติกะ คือเหล่าสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันทีโดยฉับพลัน

นี่คือกำเนิดเหล่าสัตว์ทั้งหลายทั้งหมดที่เมื่อเกิดแล้วต้องไม่พ้นจากลักษณะการเกิด ๔ อย่างตามที่กล่าวมาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ค. 2554

โอปปาติกะ เป็นการกำเนิดของเหล่าสัตว์บางประเภท คือเมื่อสัตว์ได้ตายลง จุติจิตเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีคือเป็นตัวผุดขึ้นทันที สมบูรณ์ทันที โตดั่งกับคนอายุ ๑๖ ปี เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วมนุษย์จะต้องอยู่ในครรภ์ก่อน ค่อยเป็นจุดเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้น นี่คือกำเนิดในครรภ์ แต่ถ้าเป็นหมู่สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ เมื่อสัตว์นั้นตายก็โตเป็นตัวขึ้นทันทีไม่ต้องรอให้โต ดังนั้น จึงเป็นการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งสัตว์ที่เกิดเป็นโอปปาติกะก็จะเป็นเทวดาทั้งหมด คือเมื่อสัตว์ใดจะไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็จะเป็นตัวโตผุดขึ้นทันทีโดยฉับพลัน ไม่ต้องรอค่อยๆ โตหรืออยู่ในครรภ์ ในไข่ แล้วค่อยๆ โตครับ

โอปปาติกะจึงเป็นเหล่าสัตว์ที่เป็นพวกเทวดา เปรต และสัตว์นรกด้วยครับ คือเมื่อบุคคคลใดจะต้องไปนรกเมื่อตายดังเช่นพระเทวทัต เมื่อตายไปก็ไปเกิดในอเวจีมหานรก เกิดเป็นตัวใหญ่ขึ้นมาทันทีโดยฉับพลัน แล้วก็ถูกทรมานในนรกครับ ส่วนมนุษย์โดยทั่วไปแล้วก็จะเกิดในครรภ์ มีบ้างที่เป็นโอปปาติกะ คือเกิดมาแล้วโตทันที เช่น มนุษย์ในยุคแรก ตายจากความเป็นพรหมแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่โตเป็นตัวใหญ่ทันทีเหมือนบุคคลอายุ ๑๖ ไม่ต้องอยู่ในครรภ์ ในไข่ แล้วค่อยๆ โตครับ

โอปปาติกะ จึงหมายถึงเหล่าสัตว์ที่เกิดโดยลักษณะโตขึ้นเป็นตัวทันที สมบูรณ์ทันทีผุดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งก็มีพวกเทวดาส่วนใหญ่ เปรต สัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉานบางประเภทที่เกิดขึ้นเป็นตัวทันทีไม่ต้องเกิดในครรภ์และในไข่ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

โอปปาติกะ

โอปปาติกะ คืออะไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ค. 2554

[เล่มที่16] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 354

ที่ชื่อว่า โอปปาติกะ เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนมาเกิดขึ้นโดยฉับพลัน. ในข้อนั้น นี้เป็นความแตกต่างกันระหว่างสัตว์เกิดในเหงื่อไคล กับสัตว์ที่เกิดผุดขึ้นในจำพวกเทวดาและมนุษย์. สัตว์จำพวกสังเสทชะ เกิดเป็นตัวอ่อนเล็กๆ สัตว์จำพวกโอปปาติกะ เกิดเป็นตัวเท่ากับคนอายุ ๑๖ ปี.

[เล่มที่ 16] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 355

เทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไปตั้งแต่ ชั้นจาตุมมหาราชิกา จัดเป็นจำพวกโอปปาติกะทั้งนั้น. สัตว์นรกก็เช่นกัน. ในจำพวกเปรตก็หากำเนิดได้ครบทั้ง ๔.

[เล่มที่ 18] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 47

ดูก่อนสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่าโอปปาติกะกำเนิด.

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ค. 2554

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงกำเนิด ๔ นี้ แสดงให้เห็นถึงพระปัญญาคุณของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง และทรงแสดงให้เห็นถึงกำเนิดลักษณะการเกิดของสัตว์โลก ว่าไม่พ้นจากประการนี้ ที่สำคัญการศึกษาพระธรรมต้องสอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎก ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม เพราะฉะนั้น ที่กล่าวสัตว์เกิดนั้น ความจริงแล้ว คือสภาพธรรมเกิดขึ้นที่เป็นขันธ์ ๕ ที่เป็นจิต เจตสิก รูป เท่านั้น หาความเป็นสัตว์ บุคคล ที่เกิดไมไ่ด้เลย แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงด้วยสมมติสัจจะให้ชาวโลกเข้าใจว่าอะไรเกิดเพื่อให้ชาวโลกเข้าใจสมมติที่ตั้งขึ้น

การอบรมปัญญาการศึกษาธรรมจึงต้องเป็นผู้ละเอียดและเข้าใจความจริงว่า ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น ธรรมเท่านั้นที่ดับไป ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตายนอกจากสภาพธรรมที่เป็นไป คือจิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นและดับไปครับ เพราะขณะที่ตายก็คือจิตที่เป็นจุติเกิดขึ้นและดับไป เมื่อจุติจิตดับไปก็เป็นปฏิสนธิจิตเกิดต่อ เป็นการเกิดเป็นบุคคลใหม่ แท้ที่จริงก็คือสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปครับ

หนทางในการอบรมปัญญา ก็คือเข้าใจความจริงตรงนี้ว่ามีแต่ธรรม ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล เพื่อเพิกถอนความเห็นผิด ความไม่รู้ของสัตว์โลกที่หลงยึดถือว่ามีสิ่งต่างๆ และที่พระพุทธองค์ทรงแสดงกำเนิดของสัตว์โลกจึงสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อยังมีความไ่ม่รู้ ยังมีกิเลสและหลงยึดถือว่ามีสัตว์ บุคคล ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็ต้องวนเวียนเกิดและตายยู่ร่ำไปในกำเนิดทั้ง ๔ นี้ครับ สำคัญที่สุดคือศึกษาธรรมให้เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เพื่อถึงความไม่เกิดอีกในกำเนิด ๔ คือการดับกิเลสได้ในอนาคต เริ่มจากการฟังพระธรรมทีละเล็กละน้อย

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 11 พ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 11 พ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 11 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิดในภพต่างๆ เป็นสัตว์โลกประเภทต่างๆ รวมถึงโอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันที) ด้วยเป็นผลมาจากการที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดเป็นใครก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ในเรื่องเหตุแห่งการเกิดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังมีอวิชชา ยังมีตัณหา ก็ยังต้องเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็มีทุกข์เรื่อยไปจนกระทั่งตาย เพราะชีวิตก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมแต่ละชนิดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ความสุขนั้นก็ไม่เที่ยง แม้แต่ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์คือรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนไม่เที่ยงทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาให้เห็นชีวิตตามความเป็นจริง คือเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ก็เพื่อให้สัตว์โลกถึงการดับทุกข์อย่างแท้จริง การดับทุกข์ที่แท้จริงนั้น ต้องดับกิเลสทั้งปวงและดับการเกิดด้วย

เพราะเหตุว่า เมื่อไม่มีการเกิดก็ไม่ต้องประสบกับทุกข์ประการต่างๆ ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง แต่การจะไปถึงตรงนั้นได้ ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่ต้องอบรมเจริญเป็นระยะเวลาที่ยาวนานทีเดียว ที่สำคัญคือไม่ขาดการฟังพระธรรมครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 12 พ.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 12 พ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 12 พ.ค. 2554

ผู้ที่มีกิเลส ก็ยังต้องแสวงหาที่เกิด โอปปาติกะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้วโตทันที เช่น เทวดา เปรต อสุรกาย ฯลฯ แต่พระอรหันต์หมดกิเลสแล้ว จะไม่มีการเกิดอีกเลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Chameza007
วันที่ 12 พ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ponglanna
วันที่ 12 พ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
govit2553
วันที่ 14 พ.ค. 2554

นักวิทยาศาสตร์หรือใคร น่าจะเจอสัตว์เดรัจฉานที่เกิดแบบโอปปาติกะบ้างนะครับ คือผุดเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีพ่อแม่เกิดขึ้นเป็นตัวทันทีเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
วินิจ
วันที่ 15 พ.ค. 2554

ขอเรียนถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ

๑. "ตายแล้วเกิด ไม่เกิด เกิดบ้างไม่เกิดบ้าง เกิดก็ไม่ใช่ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ทั้งหมดล้วนมิจฉาทิฏฐิ" ฟังแล้วงงมาก แล้ว "สัมมาทิฏฐิ" ในกรณีนี้คืออย่างไร?

๒. มีคำพูด "ภาษาคน ภาษาธรรม" ประมาณว่าเน้นชาตินี้ ถ้าตายแล้วก็สูญหรือตายแล้วก็จบกันหรือพยายามไม่พูดถึง จริงๆ คืออย่างไร? (ประมาณว่า "พระอภิธรรม" เป็นการเปรียบเทียบ เล็งถึงการหลุดพ้นในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ต้องนำมาใช้ก็ได้)

๓. จาก คห.7 "การดับทุกข์" หมายถึง "ทุกข์ทางใจ" ("โทมนัส" หรือ" อุปาทานทุกข์") ใช่หรือไม่? เพราะ "ทุกข์ทางกาย ("กายิกทุกข์") เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตราบที่ยังมี "กายสังขาร" อยู่ใช่หรือไม่?

๔. การเห็น "เวทนาในเวทนา" ใน "สติปัฏฐาน ๔" เน้นทางกายหรือทางใจ?

๕. การปฏิบัติ "สติปัฏฐาน ๔" ที่ถูกต้องสามารถบรรลุธรรมใน ๗ วันได้ (ไม่ต้องรอชาติหน้า) จริงหรือไม่?

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
paderm
วันที่ 15 พ.ค. 2554

เรียนความเห็นที่ 14

๑. "ตายแล้วเกิด ไม่เกิด เกิดบ้างไม่เกิดบ้าง เกิดก็ไม่ใช่ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ทั้งหมดล้วนมิจฉาทิฏฐิ" ฟังแล้วงงมาก แล้ว "สัมมาทิฏฐิ" ในกรณีนี้คืออย่างไร?

- ความหมาย คือ ความเห็นนี้ยังมีกรยึดถือว่า มีสัตว์ บุคคล ที่เกิดสัตว์ บุคคลที่ไม่เกิด ยึดถือว่าสัตว์ บุคคลเกิดก็มิใช่ มิเกิดก็มิใช่ เพระาฉะนั้น เมื่อยังสำคัญผิดว่ามีสัตว์ บุคคล นั่นเป็นความเห็นผิด เพราะในความเป็นจริงไม่มีสัตว์ บุคคลที่เกิดมีแต่จิต เจตสิกที่เกิด

๒. มีคำพูด "ภาษาคน ภาษาธรรม" ประมาณว่า เน้นชาตินี้ ถ้าตายแล้วก็สูญ หรือตายแล้วก็จบกัน หรือพยายามไม่พูดถึง จริงๆ คืออย่างไร? (ประมาณว่า "พระอภิธรรม" เป็นการเปรียบเทียบ เล็งถึงการหลุดพ้นในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ต้องนำมาใช้ก็ได้)

- ในความเป็นจริง ไม่ใช่ตายแล้วสูญ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยคือถ้ายังมีกิเลสก็ยังต้องเกิด อะไรเกิด คือจิต เจตสิก รูปที่เกิด ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เมื่อเกิดใหม่ จิต เจตสิกใหม่เกิดขึ้น ก็บัญญัติเป็นสัตว์ บุคคลนี้ประเภทนี้ ตามภพภูมิที่เกิด เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เพียงภพชาตินี้เท่านั้น แม้ภพชาติอื่นก็มี หากยังมีกิเลสก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอีกในชาติต่อไปครับ หากชาติหน้าไม่มี มีแต่ชาติปัจจุบัน และชาติก่อนมีไหม ชาติปัจจุบันที่เกิดมานี้ก็เป็นชาติหน้าของชาติก่อนนั่นเองครับ พระธรมของพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงตามเหตุผล ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังต้องเกิด จิต เจตสิกเกิดขึ้นและบัญญัติว่าเป็นสัตว์ประเภทใดครับ

๓. จากคห.7 "การดับทุกข์" หมายถึง "ทุกข์ทางใจ" ("โทมนัส" หรือ" อุปาทานทุกข์") ใช่หรือไม่? เพราะ "ทุกข์ทางกาย ("กายิกทุกข์") เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตราบที่ยังมี "กายสังขาร" อยู่ใช่หรือไม่?

- การดับทุกข์จริงๆ ไม่ใช่หมายถึงการดับทุกข์ทางใจครับ แต่หมายถึงทุกข์คือสภาพธรรมที่อุปาทานขันธ์ ๕ คือไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ อีก จึงชื่อว่าไม่มีทุกข์จริงๆ ครับ ดังนั้น จึงดับทั้งกายและใจ คือเมื่อสิ้นกิเลสแล้วปรินิพพานก็จะไม่เกิดขันธ์ ๕ อีก จึงเป็นการดับทุกข์ได้จริงๆ ครับ

๔. การเห็น "เวทนาในเวทนา" ใน "สติปัฏฐาน ๔" เน้นทางกายหรือทางใจ?

- การเห็นเวทนา คือเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเกิดพร้อมกับจิต ปัญญาและสติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นเวทนาความรู้สึกใน ๘ ขณะนั้นครับ ส่วนทางกายคือสภาพธรมที่เป็นรูปธรรมที่เป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ส่วนเวทนานั้นรู้เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับจิตซึ่งก็แล้วแต่ว่าสติจะเกิดระลึกสภาพธรรมอะไรครับ

๕. การปฏิบัติ "สติปัฏฐาน ๔" ที่ถูกต้องสามารถบรรลุธรรมใน ๗ วันได้ (ไม่ต้องรอชาติหน้า) จริงหรือไม่?

- แน่นอนครับ อาจจะสั้นกว่านั้นก็ได้ แต่แสดงว่าผู้ที่สามารถบรรลุได้เร็วเพราะเป็นผู้อบรมปัญญามามากแล้วนั่นเองครับ ต่างจากสมัยนี้ ไม่ใช่กาลเวลาที่เหมาะสม ปัญญาของเหล่าสัตว์ก็น้อยจะให้เป็นเหมือนสมัยพุทธกาลคงไม่ได้ครับ ปัญญาต่างกัน ดังนั้น ใครก็ตามจะบรรลุเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการสะสมปัญญาของผู้นั้นมาครับ ว่าสะสมมามากหรือน้อยครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
วินิจ
วันที่ 16 พ.ค. 2554

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาสำหรับ "พุทธจิต" (จิตโพธิสัตว์) ของท่านและขอให้สุขภาพท่านอ.หญิงและญาติธรรมทุกท่านจงแข็งแรงอายุยืนนานและเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ...

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
วินิจ
วันที่ 6 มิ.ย. 2554

เข้ามาอ่านเนื้อความเดิมของท่าน อ.ผเดิม (คห.15) ข้อความเดิม แต่กลับเข้าใจสว่างมากกว่าที่อ่านตอนแรกเมื่อ 16-5-54 ก็แปลกดีนะ

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
natre
วันที่ 8 มิ.ย. 2554

ผมอยากได้ข้อมูลจากท่านผู้รู้ เรื่องผู้บรรลุธรรมตามกาลสมัย เช่น นับแต่ พ.ศ. ๒๐๐๐ เป็นต้นมา จะไม่มีพระอรหันต์แล้ว สูงสุดแค่พระอนาคามีเท่านั้น หากมีข้อมูลยืนยัน บอกรายละเอียดจากพระไตรปิฎกจากไหนๆ ก็ดียิ่ง

ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
paderm
วันที่ 8 มิ.ย. 2554

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 18345 ความคิดเห็นที่ 18 โดย natre

ผมอยากได้ข้อมูลจากท่านผู้รู้ เรื่องผู้บรรลุธรรม ตามกาลสมัย เช่น นับแต่ พ.ศ. 2000 เป็นต้นมา จะไม่มีพระอรหันต์แล้ว สูงสุดแค่พระอนาคามีเท่านั้น หากมีข้อมูลยืนยันบอก รายละเอียดจากพระไตรปิฎก จากไหนๆ ก็ดียิ่ง ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี่ด้วย

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

อรรถกถาโคตมีสูตร

เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไป [อรรถกถาโคตมีสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
natre
วันที่ 9 มิ.ย. 2554

ขอขอบพระคุณ คุณ paderm เป็นอย่างสูง ที่กรุณาให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ส.ค. 2565

การเกิดในภพต่างๆ เป็นสัตว์โลกประเภทต่างๆ เป็นผลมาจากการที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และรูป ในเรื่องเหตุแห่งการเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังมีอวิชชา ยังมีตัณหา ก็ยังต้องเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็มีทุกข์เรื่อยไปจนกระทั่งตาย เพราะชีวิตก็เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมแต่ละชนิดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ความสุขนั้นก็ไม่เที่ยง แม้แต่ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์คือรู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนไม่เที่ยงทั้งสิ้น

ดังนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญาให้เห็นชีวิตตามความเป็นจริง คือเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ก็เพื่อให้สัตว์โลกถึงการดับทุกข์อย่างแท้จริง การดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นต้องดับกิเลสทั้งปวงและดับการเกิดด้วย

เพราะเหตุว่า เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องประสบกับทุกข์ประการต่างๆ ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่ต้องอบรมเจริญเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สำคัญ คือไม่ขาดการฟังพระธรรม

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ