ทำไมเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

 
โชติธัมโม
วันที่  22 มิ.ย. 2554
หมายเลข  18599
อ่าน  12,059

เรียนท่านผู้รู้ช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยครับว่า ทำไมเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เหตุใดสังขารจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ช่วยยกตัวอย่างชัดๆ ได้ไหมครับ เพราะสังขารก็เป็นเจตสิกซึ่งต้องเกิดพร้อมกับจิต และวิญญาณก็คือจิตซึ่งต้องเกิดพร้อมกับเจตสิก

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งครับ คำว่าปัจจัย คือ นำมาซึ่งผลคือสภาพธรรมนั้น คำว่า สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่า สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึงอะไร

สังขารในปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่หมายถึง ร่างกาย ไม่ได้หมายถึง สังขารธรรม คือ สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งทั้งหมด ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม และไม่ได้หมายถึง สังขารขันธ์ ในขันธ์ ๕ ที่เป็นเจตสิก ๕๐ ประเภท

แต่คำว่าสังขารในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง อภิสังขาร คือ เจตนาเจตสิก ที่เป็นกรรมครับ

ดังนั้น อภิสังขาร จึงเป็นกุศลเจตนา คือ กุศลกรรมระดับต่างๆ และ อภิสังขาร ยังหมายรวมถึง อกุศลเจตนา คือ อกุศลกรรมทั้งหมดด้วยครับ ดังนั้น สังขาร ที่เป็นอภิสังขารจึงเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้เกิดวิบาก จึงมี ๓ ดังนี้ครับ

๑. เจตนาที่เป็นไปในกุศลขั้นกามาวจรและกุศลขั้นรูปาวจรกุศล

๒. เจตนาที่เป็นไปในอกุศลกรรม

๓. เจตนาที่เป็นในกุศลขั้นอรูปาวจรกุศล

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...

อภิสังขาร ๓ [สังคีติสูตร]

ส่วนคำว่า วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง จิตที่เป็นผลของกรรม ไม่ได้หมายถึงจิตทุกประเภท แต่เป็นจิตที่เป็นผลของกรรม คือ ปฏิสนธิวิญญาณ (ปฏิสนธิจิต) คือ ขณะที่เกิด รวมทั้ง ทวิปัญจวิญญาณ คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม อันเกิดจากกรรมที่ทำไว้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

ดังนั้น คำว่า สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ก็คือ เพราะมีกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ทำมา (สังขาร) ก็ย่อมทำให้มีการให้ผลของกรรม มีการเกิด (ปฏิสนธิวิญญาณ) ทำให้เกิดในภพภูมิต่างๆ เพราะมีการทำกรรมที่เป็นสังขาร

ดังนั้น ขณะที่เกิด ที่เป็นปฏิสนธิจิต เป็นผลมาจาก สังขาร คือการกระทำกรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ให้ผลทำให้เกิดนั่นเองครับ และกรรมที่ทำที่เป็น กุศล อกุศลกรรม ก็ยังให้ผล ในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ซึ่งขณะที่เห็น เป็นต้น เป็นวิญญาณ คือ ที่เป็นผลของกรรม ที่เกิดจากสังขารคือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมที่ทำนั่นเองครับ

ยกตัวอย่างเช่น ทำกุศล เช่น รักษาศีล เป็นกุศลเจตนา เป็นสังขาร เพราะ เป็นอภิสังขาร คือ เจตนาเจตสิกที่เป็นไปในกุศลกรรม เมื่อกรรมนั้นให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นเทวดา ขณะที่เกิด เป็นปฏิสนธิวิญญาณ หรือขณะที่เห็นสิ่งที่ดี (วิญญาณ) ก็เป็นผลมาจาก สังขาร คือ การกระทำกุศลกรรมที่ดีนั่นเองครับ

ดังนั้น จากที่เจ้าของกระทู้กล่าวถึงสังขาร ว่าเป็นเจตสิก ไม่ได้หมายถึงเจตสิกทุกอย่างครับ หมายถึง เจตนาเจตสิกเท่านั้น ที่เป็นไปในกุศลกรรมและอกุศลกรรมครับ เช่นเดียวกับ วิญญาณ ไม่ได้หมายถึง จิตทุกประเภท แต่มุ่งหมายถึง จิตที่เป็นผลของกรรม มี ปฏิสนธิจิต (วิญญาณ) ขณะที่เกิดและทวิปัญจวิญญาณ คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน เป็นต้น ครับ ที่เป็นผลของกรรม อันเป็นผลมาจาก กุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่ทำไว้ที่เป็นสังขารครับ เจตนาเจตสิกที่เป็นกุศลกรรม เป็นปัจจัยให้ผลเป็นวิญญาณ ไม่ใช่ขณะเดียวกันเพราะไม่ได้หมายถึงจิตทุกประเภท แต่เป็นขณะที่เกิด (ปฏิสนธิจิต) เป็นต้น คือ ให้ผลหลังจากทำกรรมแล้วครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย ...

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
โชติธัมโม
วันที่ 22 มิ.ย. 2554
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม และ ขออนุโมทนาบุญด้วยเศียรเกล้าครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเหตุเป็นผล ที่ผู้ฟังผู้ศึกษาจะสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงนั้น เป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงนั้น ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสร้างหรือบังคับบัญชาให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นได้ แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืน แม้แต่ในเรื่องของปฏิจจสมุปปาทก็เช่นเดียวกัน ไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง อาศัยกันและกันเกิดขึ้น อวิชชา เป็นเหตุหลักที่ทำให้สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น เพราะมีความไม่รู้ จึงมีการกระทำที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง (ซึ่งเป็นอภิสังขาร คือ เจตนา อันเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้มีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป) เจตนาเป็นกรรม ในขณะที่กระทำกรรม ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม ก็ตาม เป็นอภิสังขาร ที่สะสมอยู่ในจิตพร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้นในภายหน้า และในขณะนั้นก็ต้องมีจิตและเจตสิกประการอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย แต่เป็นจิตคนละประเภทกันกับวิญญาณ อันเป็นผลมาจากอภิสังขาร ซึ่งจะเห็นได้ว่า เพราะกามวจรกุศลเป็นปัจจัย จึงทำให้ได้เกิดในสุคติภูมิ กล่าวคือ เกิดเป็นมนุษย์และเกิดเป็นเทวดา เพราะอกุศลกรรม เป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ เพราะรูปาวจรกุศล เป็นปัจจัย จึงให้เกิดเป็นรูปพรหมบุคคล และ เพราะอรูปาวจรกุศล เป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ตามระดับขั้นของฌาน ทั้งหมดล้วนเป็นความเป็นไปของธรรมเท่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน และประการที่สำคัญ ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ยังเป็นผู้ไม่พ้นจากทุกข์ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว คือ การอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะต้องเริ่มด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจเป็นปัญญาของตนเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านโชติธัมโม,คุณผเดิม และทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 22 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

สังขาร หมายถึง เจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ฯลฯ

วิญญาณ คือ วิบากจิตที่เป็นผลของกรรม เช่น เห็นขณะนี้ก็เป็นผลของกรรมในอดีต คือ เจตนาที่เป็นสังขาร เห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี เป็นต้น ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 22 มิ.ย. 2554
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
bsomsuda
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ อ่านแล้ว และเข้าใจเรื่องนี้แล้วค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านผู้ตั้งกระทู้ ท่านผู้รู้ และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 23 มิ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 23 มิ.ย. 2554

ฟังตามที่สนทนากันมา กระผมเลยสรุปว่า ปฏิจจสมุปบาทเป็นกระบวนการเกิดขึ้นของนามธรรม แล้วส่วนที่เป็นรูปธรรมมีหรือไม่ ถ้ามี มีตั้งแต่ช่วงไหนครับ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ เป็นรูปธรรมตั้งแต่ช่วงนี้ใช่หรือเปล่าครับ

ขอขอบพระคุณที่จะกรุณาให้ความรู้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 23 มิ.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 10 ครับ

การเกิดขึ้นของรูปธรรม ก็เริ่มจาก วิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นาม รูป คือ เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้จึงมีการทำกรรม ที่เป็นกุศลกรรมและอกุศกรรม (สังขาร) และเมื่อกรรมนั้นให้ผลก็ทำให้มีการเกิด คือ ปฏิสนธิวิญญาณ (สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ) และเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณ คือมีการเกิด ก็มีรูปที่เกิดพร้อมกับปฎิสนธิจิต ที่เป็นกัมมชรูปในขณะนั้นพร้อมกัน คือ ภาวรูป หทัยรูป กายปสาทรูป เป็นต้นครับ ก็เริ่มจากตรงนี้คือ จากวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่นาม รูป ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นที่ให้คำแนะนำครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
peem
วันที่ 25 มิ.ย. 2554

ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 27 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ